องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 1107

คำถามนี้เล่นเอาพวกเจี่ยงอิงสงถึงกับงุนงง

นี่หมายความว่าอย่างไรกัน ?

“ใต้เท้า เรื่องนี้ข้าไม่อาจทราบหรอก...” เจีงเฟิงส่ายหัวปฏิเสธ

รู้กับผีน่ะสิ

จางเป่ยจึงหันมาจ้องมองเจียงเฟิงแล้วยิ้มเยาะ

“ก็เพราะว่าข้าน่ะ... ไม่อยากรับราชการแล้วน่ะสิ ! การทำงานราชการน่ะ ข้าเห็นอะไร ๆ มาเยอะจนไม่อยากเจออีกแล้ว กระทั่งว่าเรื่องบางเรื่องก็ขวางหูขวางตา ข้าถึงได้ขอลาออกกับฝ่าบาท อยากจะกลับบ้านเกิดมาดูแลตัวเองยามแก่“

“แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้ากลับบ้านเกิด ถึงได้ส่งข้ามาที่นี่แทน บอกว่าข้าสามารถเกษียณได้ แต่ยังต้องทำงานบางอย่าง“

“ข้าคิดว่าจะมาก็ย่อมได้ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นแค่คนสั่งการ งานในกองทัพนี้ข้าก็เพียงแต่ถามเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ด้วยเหตุสุดวิสัย... เพราะคนโง่อย่างพวกท่านมาขวางหูขวางตาข้าอีกน่ะสิ !“

คนโง่อย่างพวกเจ้า ?

ขวางหูขวางตา ?!

ซี้ด...

เมื่อจางเป่ยเอ่ยออกไปเช่นนี้ สีหน้าของเหล่าผู้นำทัพก็พากันแย่ลงถนัดตา !

แม้แต่เจียงเฟิงที่ดูไม่ธรรมดาในยามนี้ก็ยังทำได้แค่อ้าปากค้าง รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ต้องอับอายขายหน้า ใบหน้าแดงขึ้นมาภายในครู่เดียว !

บรรยากาศภายในนั้นกระอักกระอ่วนจนถึงที่สุด....

ผู้คนพากันอ้าปากค้าง อยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น

จางเป่ยในยามนี้มีท่าทีดุดเดือดโกรธาถึงขีดสุด ดวงตาของเขาจ้องไปยังเจียงเฟิงแล้วต่อว่าต่อขาน

“ใต้เท้าเจียง ข้ากำลังด่าท่านนี่ละ ! เห็นชีวิตชาวบ้านเป็นผักปลา คนโง่เง่าอย่างพวกท่านรู้จักแต่ขูดเลือดขูดเนื้อกับชาวบ้าน แต่ไม่เคยรู้จักสำนึกบุญคุณเลยแม้แต่น้อย ยามนี้ยังมารังแกชาวบ้าน คนอย่างท่านน่ะ ไม่สมควรเป็นคนแล้ว !“

“ชาวบ้านต้องการพวกท่าน แต่พวกท่านกลับเห็นชาวบ้านเป็นเนื้อปลาบนเขียง จัดการตามใจชอบ พวกท่านมันสู้หมูสู้หมาไม่ได้เลยสักนิด...”

คิดไม่ถึงว่าจางเป่ยที่ดูเป็นมิตรในยามปกติจะเดือดดาลได้ถึงเพียงนี้ในยามที่โมโห ท่าทีเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมากแล้วจริง ๆ

เมื่อเขาต่อว่าเจียงเฟิงเสร็จก็หันมาด่าเจี่ยงอิงสง จากนั้นก็ด่าเหล่าผู้นำทัพเหยียนโจวทั้งหลาย !

ด่าเสียจนคนเหล่านี้แทบไม่เหลือชิ้นดี

ส่วนพวกเจียงเฟิงนั้นได้แต่ยืนนิ่ง ไม่กล้าขยับตัวทำอะไรทั้งนั้น กระทั่งว่าเมื่อฟังไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกผิดในใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เราไม่ควรทำเช่นนี้จริง ๆ นั่นละ...

“หึ !”

เมื่อจางเป่ยได้ระบายอารมณ์ด้วยการด่าจนจบแล้ว จึงค่อยเค้นเสียงในลำคอออกมา จิบชาหนึ่งคำแล้วค่อยเอ่ยขึ้น

“ใต้เท้าเจียง ตอนนี้ท่านลองบอกมาซิว่าท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง ?“

เจียงเฟิงก้มหัวลง เหลือบมองจางเป่ยที่เพิ่งจะคลายความโกรธไปได้ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยออกมา

นับตั้งแต่หลี่เจิ้งย้ายเข้ามาอยู่เมืองหลวงแคว้นหนาน สร้างราชวงศ์อู่ขึ้นมาใหม่ ตอนนี้เมืองหลวงแคว้นหนานก็เริ่มเป็นระเบียบ ชาวบ้านของแคว้นหนานที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้หนีหายไปไหน แต่ยังคงอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนานเช่นเคย。

เมืองใหญ่แต่ละเมืองจะฟื้นคืนซึ่งความสงบสุขในวันวาน

พวกชาวบ้านเองก็สามารถอยู่อย่างสบายใจ ทำมาหากินได้ด้วยดีอีกครั้ง

เรียกได้ว่าแม้ราชวงศ์จะเปลี่ยนไปเพียงใด แต่ชาวบ้านก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งผ่านเมืองที่คึกครื้น รีบพุ่งตรงมายังวังหลวงทันที

เมื่อเสียงรายงานอันรีบร้อนดังขึ้น ภายนอกห้องทรงพระอักษรของหลี่เจิ้ง

หวังเหลียนรีบออกมาแล้วพาตัวคนไปเข้าเฝ้าด้านในทันที

เมื่อทหารผู้นั้นมองเห็นหลี่เจิ้งก็รีบคุกเข่าคงคารวะแล้วเอ่ยขึ้น

“กราบทูลฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เหยียนอ๋องอยู่ที่เหยียนโจวถูกใส่ร้ายว่าเป็นพวกเดียวกับองค์รัชทายาท ถูกผู้ใต้บังคับบัญชาลุกขึ้นมากบฏ ตอนนี้ได้สูญเสียอำนาจทัพแห่งเหยียนโจวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ“

“ว่าอย่างไรนะ ?!”

หลี่เจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นมาทันทีด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

เขาขมวดคิ้วแล้วจู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงร้องเสียงหลงขึ้น

“แย่แล้ว ! จางเป่ย !”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน