องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 1111

หลี่จุ่นให้จักรพรรดินีไปบอกแก่ทัพเหยียนโจว ให้ทัพเหยียนโจวขับไล่ชาวบ้านออกจากเมือง จากนั้นก็โจมตีเมือง

แต่กลายเป็นว่าหลี่จุ่นได้รับจดหมายพิราบสื่อสารในตอนดึกว่าอีกฝ่ายได้เชิญจักรพรรดินีไปพบที่นอกเมือง

หลี่จุ่นเห็นดังนั้นก็ถึงกับงงงันไปครู่หนึ่ง

จางเป่ยผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ ?

เล่นอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ ?

พอได้ยินว่าผู้ที่นำทัพหลักของเหยียนโจวคือจางเป่ย หลี่จุ่นก็แจ้งไปยังสมาชิกของสมาคมเทียนตี้ภายในเมืองทันที ให้พวกเขาส่งจดหมายต่อไปยังอวี้เซียง ตรวจสอบดูว่าจางเป่ยผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง

เพราะหลี่จุ่นขาดความเข้าใจเกี่ยวกับคนผู้นี้ จึงยากต่อการลงมือ

ทว่า ถึงอย่างไรก็ต้องเอาชนะเหยียนโจวนี้ให้ได้โดยเร็ว นานสุดห้าวัน เร็วสุดไม่เกินสามวัน

หากเกินกว่าห้าวัน ทัพแคว้นหนานคงพบวิกฤติเรื่องเสบียงขาดแคลนเป็นแน่

ถึงตอนนั้น เกรงว่าจะทำได้เพียงถอยทัพกลับไปชั่วคราว

“จางเป่ยผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ ?”

หลี่จุ่นขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด

ก่อนนี้เพิ่งจะเจรจาล้มเหลวไป มาตอนนี้อีกฝ่ายกลับเป็นฝ่ายเชิญไปเสียเอง

วิธีการเช่นนี้ยากต่อการทำความเข้าใจได้จริง ๆ !

“ตาแก่นี่ จะประมาทไม่ได้” หลี่จุ่นแอบคิดในใจ

ในเมื่อเขาสามารถนั่งตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมได้ แล้วยังมีอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว ต้องเป็นพวกฉลาดเป็นกรดเป็นแน่แท้

จะประมาทไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญ !

“ข้าอยากจะฟังนักว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่” หลี่จุ่นนึกวางแผนอยู่ในใจ ต่ตอบจักรพรรดินีไปเพียงว่าต้องรับมืออย่างระมัดระวัง รอดูสถานการณ์ไปก่อน

ในวันรุ่งขึ้น

เมื่อใกล้ถึงช่วงกลางวันแล้ว จักรพรรดินีก็เข้าเมืองมาด้วยตนเอง

นางมายังโรงเตี๊ยมเพื่อพบกับหลี่จุ่น

“ฝ่าบาท ทรงมาได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ ?” หลี่จุ่นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบเชิญจักรพรรดินีที่แต่งกายปลอมตัวมาให้เข้าไปภายในห้อง

จักรพรรดินีนั่งลงบนเก้าอี้ ดึงเอาผ้าคลุมหน้าออกดื่มชาที่หลี่จุ่นรินให้แล้วเอ่ยขึ้น

“ท่านกุนซือ วันนี้ข้ากับจางเป่ยได้เจรจากันอีกคราแล้ว เขารับปากว่าทัพเหยียนโจวจะยอมแพ้แก่ทัพของเรา แต่ต้องรอหลังจากเจ็ดวัน !”

เจ็ดวันให้หลังหรือ ?

หลี่จุ่นหรี่ตาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ฝ่าบาท จางเป่ยน่าจะกำลังถ่วงเวลาอยู่น่ะพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดินีเหลือบมองเขาก่อนจะพูดขึ้น

“หากท่านกุนซืออยากทราบอะไรก็ถามได้เต็มที่ คนผู้นี้เคยรู้จักแม่ทัพเฟิงมาก่อน แม่ทัพเฟิงถือว่าพอรู้จักเขาอยู่บ้าง ตอนนี้ข้าเองก็พอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนผู้นี้อยู่บ้าง”

หลี่จุ่นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ตาก็มองไปยังจักรพรรดินี จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้น

“ฝ่าบาท แล้วความสามารถในการเป็นผู้นำทัพของคนผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง ?”

ในเมื่อสามารถเป็นถึงเจ้ากรมกลาโหมได้ เกรงว่าก็คงจะเก่งกาจเรื่องการรบมากเช่นกัน

ทว่า

จักรพรรดินีกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“เรื่องนี้ข้ากับแม่ทัพเฟิงยังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก พวกเขามิได้รู้จักกันจากบนสนามรบ ทว่า จากที่ข้ารู้มา จางเป่ยผู้นี้มิเคยนำทัพออกรบมาก่อน แต่ที่คนผู้นี้สามารถขึ้นเป็นเจ้ากรมกลาโหมได้ เกรงว่าคงมีความรู้ด้านวิถีการรบที่ไม่เหมือนใคร จะประมาทมิได้เด็ดขาด”

หลี่จุ่นขมวดคิ้ว แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าช้า ๆ “ฝ่าบาท เช่นนั้นแล้วคนผู้นั้นมีนิสัยอย่างไรบ้างหรือ ?”

“จากที่ท่านแม่ทัพเฟิงกล่าว เจ้ากรมกลาโหมจางผู้นี้ เบื้องหน้าดูเป็นคนอ่อนโยน แต่ก็มีช่วงเวลาที่มุทะลุใจร้อน แล้วยังมีอีกจุดหนึ่งคือจางเป่ยผู้นี้รักและปกป้องชาวบ้านยิ่งนัก ชาวบ้านล้วนแต่พูดถึงเขาในทางที่ดีทั้งสิ้น” เมื่อจักรพรรดินีครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยตอบออกไป

ดีต่อชาวบ้านหรือ ?

เช่นนั้นก็น่าจะเป็นขุนนางที่ดีกระมัง

หรือไม่เช่นนั้น ตัวเองจะเป็นฝ่ายใช้ชาวบ้านเมืองเหยียนโจวมาข่มขู่เขาเสียเอง ?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน