องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 1143

ณ เมืองหลวงใหม่

หลี่เจิ้งเพิ่งเสร็จสิ้นราชกิจในตอนเช้า จึงให้เหล่าขุนนางออกจากท้องพระโรงไป แล้วจึงค่อยกลับไปยังห้องทรงพระอักษร

หวังเหลียนที่เดินเข้ามาจากด้านนอกได้ก้มศีรษะลงเพื่อรายงาน

“ฝ่าบาท มีข่าวจากเมืองอวี๋เจียงพ่ะย่ะค่ะ... การแต่งงานระหว่างตระกูลของอัครมหาเสนาบดีหวังและตระกูลชุยหยุดลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ !”

"อะไรนะ ?!"

หลี่เจิ้งหรี่ตาลงมอง ฉับพลันสีหน้าของเขาก็เย็นชาขึ้น “ใครกันที่กล้าเข้ามายุ่มย่าม ?”

หวังเหลียนจึงเอ่ยขึ้นทันที "จากข่าวที่แจ้งมา กระหม่อมได้ยินมาว่าเขาเป็นบุตรชายของแม่ทัพเฟิงอู่หังแห่งแคว้นหนานพ่ะย่ะค่ะ"

“บุตรชายของเฟิงอู่หังหรือ ?”

หลี่เจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็โกรธขึ้นทันที “เฟิงอู่หังมีลูกชายเสียที่ไหนกันเล่า !”

จากข้อมูลที่ได้รับมา เฟิงอู่หังไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยเปิดตัวบุตรมาก่อน

หวังเหลียนส่ายหัว เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบ "ไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกนอกสมรสก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ... "

สีหน้าของหลี่เจิ้งดูไม่รับบุญนัก ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งโกรธ จึงร้องตะโกนขึ้น

“เฟิงอู่หังตัวดี เพิ่งยึดเมืองอวี๋เจียงข้าไป ตอนนี้ยังมายุ่งกับแผนของข้า ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน !”

แต่ถึงจะโกรธเช่นไร หลี่เจิ้งก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ในตอนนี้

เพราะตอนนี้เมืองอวี๋เจียงมีกองกำลังแสนนาย และเฟิงอู่หังกำลังปกป้องเมือง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะสร้างความขัดแย้งกับเขา

ตอนนี้ฮ่องเต้อย่างเขาทำได้เพียงยอมจำทนเท่านั้น

“หากการแต่งงานล้มเหลว เช่นนั้นตระกูลชุยคงไม่อาจทำงานให้ข้าได้เต็มที่ อิทธิพลของตระกูลชุยในราชสำนักนั้นไม่อาจมองข้ามได้ ขุนนางบางคนในราชวงศ์อู่เราร่วมมือกับตระกูลชุย และต้องการ คิดจะทำอย่างตระกูลชุย น่ารังเกียจที่สุด !”

หลี่เจิ้งต้องการทำลายตระกูลชุย แต่ในตอนนี้เขายังไม่สามารถหาเหตุผลที่ดีได้ เนื่องด้วยตระกูลชุยมีความภักดีต่อราชวงศ์อู่ยิ่งนัก เพียงแค่บางครั้งพวกเขาก็ไม่ได้พยายามทำงานอย่างสุดความสามารถก็เท่านั้น

อีกทั้ง หากทำลายตระกูลชุยไปเช่นนี้ก็น่าเสียดายนัก

แต่ตอนนี้ เนื่องด้วยเขาเพิ่งจัดตั้งเมืองหลวงขึ้นใหม่ อีกสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่มั่นคงมากนัก จำเป็นต้องใช้งานคน หากตระกูลชุยเต็มใจงานสุดความสามารถ ราชสำนักก็จะสงบลงได้ในเวลาไม่นาน

เดิมทีเขาคิดจะยืมมือจากอำนาจของหวังโส่วหนิง ให้ตระกูลชุยและตระกูลหวังรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นก็รับใช้ราชวงศ์อู่อย่างสุดความสามารถ เช่นนี้ทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดี

แต่ตอนนี้เฟิงอู่หังปรากฏตัวขึ้นกลางทางและขัดขวางแผนการของเขา ทำให้หลี่เจิ้งรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา

หวังเหลียนยังคงเงียบต่อไป

เขาไม่กล้าพูดแทรกถึงเรื่องเหล่านี้ได้

สิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือช่วยฝ่าบาทด้วยวรยุทธ์ของเขา

“มีข่าวอันใดจากชิงโจวบ้างหรือไม่ ?” หลี่เจิ้งที่โกรธอยู่พักหนึ่ง จึงค่อย ๆ เอ่ยถามออกมา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ที่แคว้นเล็ก ๆ อย่างแคว้นหนาน กล้ามาท้าทายราชวงศ์อู่เช่นนี้

ช่างน่าเสียดายนัก !

หวังเหลียนก็แอบเสียดายอยู่ลึก ๆ เช่นกัน

หลี่เจิ้งเหลือบมองหวังเหลียน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความครุ่นคิด ก่อนจจะเอ่ยถามด้วยการเยาะเย้ย:

“หวังเหลียนเอ๋ย พวกเศษสวะสำนักจิ่งนั้น เจอร่องรอยบ้างหรือไม่ ?”

หวังเหลียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบ

“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้รับข่าวบางอย่างมา เดิมทีกระหม่อมตั้งใจที่จะตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนที่จะแจ้งให้ฝ่าบาททราบ แต่ถึงพูดตอนนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉับพลัน ดวงตาของหลี่เจิ้งก็เป็นประกายขึ้นมา

“ฝ่าบาท นอกจากที่จิ่งอ๋องได้ก่อตั้งสำนักจิ่งแล้ว ก็เป็นดังที่ฝ่าบาทคาดไว้ กระหม่อมพบว่าจิ่งอ๋องมีศิษย์จำนวนมาก บัดนี้กระหม่อมยืนยันตัวตนของศิษย์พวกนี้บางส่วนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ !”

"เจ้าพูดมา !"

หวังเหลียนกล่าวต่อด้วยท่าทีเคารพ

“ศิษย์คนเล็กของจิ่งอ๋องคือผู้นำคนปัจจุบันของลัทธิเทียนซาน ศิษย์คนโตของจิ่งอ๋องคือเฮยไหลไป๋หลี่ หัวหน้าสิบขุนพลสำนักจิ่งในตอนนั้น ข้าสงสัยว่าเฮยไหลไป๋หลี่จะยังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ ! นอกจากนี้แล้ว...”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน