องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 1331

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเฟิงหลิงจือ

นางพยักหน้าและพูดว่า

“ขอบคุณนะ รีบเข้ามาเถิด ข้ากำลังจะทานอาหารเช้าพอดี”

ไม่ทันรอหลี่จุ่นเอื้อยเอ่ยใด ๆ นางก็หันหลังและเดินไปเสียแล้ว

หลี่จุ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย

คำพูดคำจาของเฟิงหลิงจือวันนี้ ไม่สงวนท่าทีเช่นเมื่อก่อนแล้ว ดูเปิดกว้างและผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?

หลี่จุ่นคลำคางของเขา เดินตามเข้าไปทั้งที่ยังงงงวยเล็กน้อย

เขารู้สึกว่าเฟิงหลิงจือดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน

หรืออาจเรียกได้ว่า...เป็นการยกระดับทางจิตใจ?

จะพูดอย่างนั้นก็ได้

ในใจของเขารู้สึกทุกข์อย่างบอกไม่ถูก

เฟิงหลิงจือไม่ได้สงวนท่าทีเมื่ออยู่ต่อหน้าตัวเองแล้ว มันหมายความว่าอย่างไร?

อาจจะหมายความได้ว่าความรู้สึกที่มีต่อตัวเองนั้นเปลี่ยนไปแล้ว

หากเป็นเช่นนั้นก็คงแย่...

อาหารเช้ามื้อนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย

บนโต๊ะอาหาร ทุกคนล้วนตะลึงงัน ไม่กล้าพูดอะไร

ก้มหน้าก้มตาตั้งใจกินอย่างเดียว

แม้แต่สาวน้อยเฟิงหลิงหวน นอกจากเอาตากลมโตดวงน้อยเหลือบมองพี่สาวของตัวเองและหลี่จุ่นเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน

ทั้งครอบครัวไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก แต่เฟิงหลิงจือกลับแสดงท่าทางของบุตรสาวแห่งตระกูลผู้ลากมากดี แสดงให้เห็นถึงความประพฤติตัวอันเหมาะสมและมีน้ำใจ

แม้ว่านางจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใดนัก แต่ทวงท่าที่สง่างามเหลือล้นของนาง และทุกอิริยาบถล้วนดึงดูดทุกคน

แม้แต่หลี่จุ่นเองก็ยังตกตะลึงเมื่อได้เห็น

เฟิงหลิงจือในเมื่อก่อน หากพบผู้อื่นข้างนอกจะมีท่าทางเขินอายเล็กน้อย

นางมักจะพูดน้อย พร้อมสำรวมกิริยามารยาทอย่างเห็นได้ชัด ไม่กล้าทำอะไรมาก

เนื่องจากใบหน้ากระในอดีตของนางทำให้นางรู้สึกด้อยค่า และส่งผลให้นางกลายเป็นคนที่หวาดกลัวคนแปลกหน้าและเก็บตัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่จุ่น เห็นได้ชัดจนทุกคนต่างรับรู้ได้ ทว่าวันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

นี่มันแปลกยิ่งนัก

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ยัยหนูน้อยลากหลี่จุ่นไปข้าง ๆ และอดไม่ได้ที่จะถามว่า

“พี่จุ่น พี่สาวเป็นอะไรไป? ข้ารู้สึกว่าพี่เหมือนจะเปลี่ยนไปนะ...”

หลี่เจิ้งมีสีหน้าสงบนิ่ง เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ ยกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า

“เหล่าพวกพ้องของข้า ยืนขึ้นเถิด!”

ทุกคนยืนขึ้น

ทว่ากลับมีคนที่ไม่ได้ลุกขึ้น คุกเข่าลงที่พื้นอยู่อย่างนั้น

คนคนนั้นคือเจ้ากรมกลาโหม เขาตะโกนเสียงดังว่า

“กราบทูลฝ่าบาท มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ! ทัพแคว้นหนานได้เข้ามาบุกซินตูของพวกเรา และเคลื่อนทัพไปยังภูเขาเทียนเหยี่ยนเรียบร้อยแล้ว โปรดฝ่าบาทส่งกองกำลังไปโดยเร็ว ปราบศัตรู แสดงอำนาจของราชวงศ์อู่ของพวกเราออกมา!”

ทันทีที่เจ้ากรมกลาโหมท่านนี้เอ่ยปาก ทุกคนต่างก็ทยอยพากันคุกเข่าลงและร้องขอให้หลี่เจิ้งส่งกองทัพออกไป!

หลี่จุ่นยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดิม มองทุกคนที่คุกเข่า มองอวี่เหวินจิ้งและพูดว่า

“ไท่ซือ เรื่องนี้ท่านมีความเห็นเป็นเช่นไร?”

อวี่เหวินจิ้งมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ทว่าเมื่อหลี่เจิ้งเอ่ยปากถาม แน่นอนว่าเขาไม่สามารถยืนนิ่งเฉยได้ เขาครุ่นคิดสักพักและกล่าวว่า

“กราบทูลฝ่าบาท ศัตรูยังไม่ลงมือโจมตี เนื่องจากเหตุการณ์ยังไม่แน่ชัด หากเรารีบส่งกองกำลังเข้าโจมตีตอนนี้อาจส่งผลเสียต่อกองทัพของเราได้!”

“ข้าน้อยเห็นว่า ให้เน้นไปยังการป้องกันก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”

เมื่อเจ้ากรมกลาโหมได้ยินดังนั้นและเห็นว่าหลี่เจิ้งไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใด เขาจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า

“ฝ่าบาท ข้าน้อยไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของไท่ซือพ่ะย่ะค่ะ กองทัพของเราควรจะโจมตีตอนนี้เพื่อทำให้ศัตรูหวาดกลัว! มิเช่นนั้นหากทัพแคว้นฉีจากทางเหนือเดินหน้าลงทางใต้ เราจะถูกโจมตีจากทั้งสองฝั่ง ทำให้กองทัพของพวกเราเสียเปรียบอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน