องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 7

หลี่เจิ้งกลับตำหนักบรรทม สีหน้าขึงขัง

หวังเหลียนสาละวนหน้าหลัง ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์

เขาเห็นหลี่เจิ้งนั่งอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร หยิบหิมะพิทักษ์เมืองบทนั้นมาอ่านเบา ๆ สุดท้ายก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “ฝ่าบาท คล้ายว่าองค์ชายหกจะไม่เหมือนเดิมเล็กน้อยนะพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เจิ้งใบหน้าไร้อารมณ์ ถามกลับ “มีอะไรไม่เหมือนเดิมรึ”

หวังเหลียนคิดแล้วก็ตอบด้วยความเคารพ “วันนี้องค์ชายหกทรงใช้ปฏิภาณผ่านการทดสอบของฝ่าบาท แม้ไม่ได้แสดงวรยุทธ์ แต่องค์ชายหกกลับมีสติปัญญา...”

“ปัญญา?”

หลี่เจิ้งหัวเราะเย็นทันที “หวังเหลียน เจ้าติดตามข้ามาหลายปี ดูท่าสายตาเจ้าจะยังแหลมไม่พอนะ”

หวังเหลียนสะดุ้งไม่กล้าส่งเสียงฉับพลัน

นัยน์ตาหลี่เจิ้งซ่อนเร้นความเย็นชา พูดต่อ “ลูกคนนี้เป็นอย่างไร ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจดี วันนี้ใช้ไหวพริบยกกระถาง ได้แต่พูดว่าคิดการไม่รอบคอบ ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมรับ”

ตระหนักจากการที่องครักษ์ในวังขนย้ายของหนัก อย่างไรก็เป็นการกระทำที่ไม่ได้คิดมาก่อน ไม่นับว่ามีปัญญาอะไร

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบแล้ว” หวังเหลียนรีบตอบ

“เอาล่ะ”

หลี่เจิ้งปัดมือพูด “เจ้าส่งคนไปเดี๋ยวนี้ บอกองค์ชายหก พรุ่งนี้เขาไม่ต้องมาร่วมประชุมขุนนาง ราชทูตแคว้นหลางนั่นไม่ได้มาดี บอกว่าเอาสามปัญหายากมา ข้าล่ะกลัวว่าราชทูตจะรู้ว่าองค์ชายหกไม่ร่ำเรียนเขียนอ่าน จงใจเลือกให้เขาตอบคำถาม ถึงตอนนั้นข้าขายหน้าเรื่องเล็ก แต่เสียเกียรติราชวงศ์อู่เราคือเรื่องใหญ่”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

หวังเหลียนถอยออกไปทันที สั่งให้คนไปบอกกับหลี่จุ่น

จากนั้นหลี่เจิ้งก็สั่งอีก “แจ้งข่าวกับผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เย่หงทันที ราชทูตอาจจะถึงเมืองหลวงในคืนนี้ ให้เขาเตรียมองครักษ์คุ้มครองอย่างลับ ๆ แล้วแจ้งกับจวนเหยียนอ๋องด้วย เฝ้าสังเกตชายแดนให้ดี แคว้นหลางหมาป่ามักใหญ่ใฝ่สูง ไม่แน่ว่าจะฉวยโอกาสตอนที่ราชทูตเข้าเมืองหลวงเล่นตุกติกอะไรก็เป็นได้”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

พอสั่งงานเสร็จ หลี่เจิ้งก็มองหิมะพิทักษ์เมืองฉบับคัดลอกในมือ แววตาสว่างมืดไม่แน่นอน

หลังจากหวังเหลียนส่งคนไปบอกกับหลี่จุ่นว่าไม่ต้องเข้าร่วมประชุมขุนนางแล้ว หลี่จุ่นก็พลันขมวดคิ้ว

โป๊ะเชะ!

ถึงเขาจะยกกระถางขึ้นมาได้ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากคุณพ่อฮ่องเต้เผียนอีท่านนั้นอยู่ดี!

ไม่ให้เขาประชุมขุนนาง หลี่จุ่นใช้ตาตุ่มคิดยังรู้ความหมายเลย กลัวว่าราชทูตจะเจาะจงแกล้งเขาโดยเฉพาะไง คุณพ่อเผียนอีท่านนั้นก็เลยกลัวว่าตัวเองจะขายหน้า

แต่ช่างเถอะ

ถึงเขาจะอยากรู้ว่าปัญหาหินสามข้อที่ราชทูตแคว้นหลางเอามาว่ามันคืออะไร แต่ก็ใช่ว่าต้องรู้ให้ได้

ก็ที่เรียกว่าปืนยิงนกที่ยื่นหัวยังไงล่ะ ทีแรกคิดว่าพี่ ๆ พวกนั้นของเขาจัดการยากแล้ว ขืนโชว์ความฉลาดออกไปตอนนี้อีก เป็นภัยคุกคามกับพวกเขา อนาคตไม่ได้อยู่อย่างสงบมากกว่าเดิมแน่

หลี่จุ่นชอบชีวิตที่ปลอดภัยแฮปปีมากกว่า

ไม่ใช่อยู่ท่ามกลางการชิงไหวชิงพริบทุกวี่วัน ไม่สงบสักนาที

ศึกในวังเนี่ยนะ ก่อนเขาจะทะลุมิติมาเคยดูซีรีส์มาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว เขาดูจนเพลียจิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ยังเจอกับตัวอีก

“แต่...การไปเมืองหลินซุ่นนี้ ไม่แน่ว่าจะยกเลิกได้ สงสัยต้องเตรียมตัวบ้างแล้ว”

หลี่จุ่นคิดอยู่ในใจ

จากสีหน้าของคุณพ่อฮ่องเต้เผียนอีท่านนั้นของเขา ไม่เหมือนพวกที่จะปล่อยเขาไปง่าย ๆ อย่างนั้น ก็เหมือนกับที่เรียกว่าหัวใจจักรพรรดิยากจะคาดเดา ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ยังจะหาข้าอ้างอะไรทำให้เขาต้องไปอีก

ต้องป้องกันไว้ก่อน!

“หยางจง เตรียมตัวหน่อย พวกเราจะออกจากวังกันสักครั้ง”

พอหลี่จุ่นคิดอย่างนี้ก็เริ่มเตรียมตัว

“องค์ชายจะเสด็จออกจากวังไปทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางจงสงสัย

“เจ้าไม่ต้องยุ่ง เตรียมตัวก็พอ ข้าจะไปเปลี่ยนชุดลำลองนะ” หลี่จุ่นไม่ตอบแต่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย

หนึ่งก้านธูปให้หลัง

เสื้อผ้าของหลี่จุ่นขาวยิ่งกว่าหิมะ มือถือพัดสีขาว แขวนหยกตรงเอว ทั่วทั้งตัวมีชีวิตชีวาประหนึ่งหยก เป็นคุณชายสง่าหมดจดคนหนึ่ง

พาหยางจงออกจากวังทางประตูข้าง

“ท่านชาย นี่พวกเราจะไปทำอะไรกันหรือขอรับ” หยางจงก็เปลี่ยนชุดลำลองเหมือนกัน ไม่ให้คนรู้ฐานะขันทีของเขา

หลี่จุ่นมองผู้คนคลาคล่ำบนถนนฉางอัน ครึกครื้นเป็นพิเศษ กางพัดสีขาวออกดังพรึบ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า

“ตามข้ามาก็พอ ไม่ต้องถามมาก”

หลี่จุ่นมองปริศนาโคมไฟข้อแรก เห็นบนนั้นเขียนว่า หน้าปริศนามิมีหนึ่งคำ ทายหนึ่งสิ่ง

ข้อที่สอง คนในคันฉ่อง ทายหนึ่งคำ

ข้อที่สามคือ จันทราแขวนอยู่บนฟากฟ้า กุลสตรีมีบุตรดอกบัวแฝด สระน้ำเขียวพบกันยาโหย่ว อ่านกลอนตำรามิกล่ววาจา ทายสี่คำ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน