เขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีพรหมลิขิตกับเย่เฉินมากขนาดนี้ ยอมให้ตัวเองเอ่ยคำส่วนลึกของจิตใจที่ซ่อนเอาไว้ออกมา
เขาแค่เก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจนานเกินไป กลั้นไว้ไม่เคยปลดปล่อยออกมา เพียงเพราะหาคนเหมาะสมที่จะระบายยังไม่ได้
ครั้นแล้ว เย่เฉินก็ปลอบใจว่า: “สุดท้ายมาตุภูมิก็ต้องอภัยให้ลูกหลาน หลายปีมานี้ หลาย ๆ คนที่เหมือนคุณกลับไป มาตุภูมิก็อ้าแขนเปิดรับ สำหรับมาตุภูมิแล้ว การส่งคนมีความสามารถออกไปเรียนต่อ ไม่ได้เรียกร้องให้ทุกคนเรียนจบก็กลับไปตอบแทนมาตุภูมิ แต่ขอแค่คนเหล่านี้ที่ถูกส่งออกมาให้มีส่วนหนึ่งยินยอมกลับไป ดังนั้นเรื่องนี้จึงสมควรไปทำ ส่วนตรงกลางที่ขาดหายไปก็เป็นแค่ความเสียหายตามปกติเท่านั้นเอง”
สักพักหนึ่งเย่เฉินก็เอ่ยว่า: “ก็เหมือนกับลังโฟมที่ขนส่งน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะบรรจุน้ำแข็งแน่นหนาแค่ไหนก็ย่อมมีบางส่วนต้องละลายระหว่างการขนส่ง แต่นั่นก็ไม่เป็นไร สำหรับคนขนน้ำแข็งแล้ว ของแค่ถึงเป้าหมายมีน้ำแข็งเหลืออยู่ ความพยายามเหล่านี้ก็มีความหมายเชิงปฏิบัติแล้ว”
หล่างหงจวินตะลึงเล็กน้อย พยักหน้าเบา ๆ ทันทีในปากพึมพำว่า: “อันที่จริงตอนนั้นผม ถูกโลกที่มีสีสันของทางตะวันตกดึงดูด มักจะรู้สึกว่าเวทีที่นี่ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งฉายแววตัวเองได้มากยิ่งขึ้น อันที่จริงเราก็ไม่ได้ลืมมาตุภูมิ เพียงแต่ทุกคนอัดอั้นมันไว้ ถ้ามีความเป็นอยู่ดี ก็กลับไปตอบแทนมาตุภูมิร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แต่มักจะมีคนที่เหมือนผม แม้ตอนนั้นจะเย่อหยิ่งจองหอง แต่ก็จะค่อย ๆ กลายเป็นคนธรรมดาทั่วไป……”
พูดถึงตรงนี้ หล่างหงจวินก็พูดเคล้าน้ำตาว่า: “ผมอยากตอบแทนมาตุภูมิจริง ๆ นะ! แต่ตอนนี้ให้ตายเถอะขนาดแม่ผมเองผมยังเลี้ยงไม่ไหว อายุก็ 70 แล้วยังต้องทำงานหาเงินในร้านอาหารจีนมาเสริมค่าใช้จ่ายในบ้าน ผมเรียนหนังสือมาตั้งหลายปี เรียนเทคโนโลยีมาตั้งมากมาย เขียนรหัสมาตั้งเยอะขนาดนั้น สุดท้ายกลับต้องอาศัยอาชีพกะลาสีเรือเลี้ยงดูครอบครัว นายว่าผมจะมีหน้ากลับประเทศยังไง?”
เย่เฉินถามเขาว่า: “คุณเข้าใจงานกะลาสีเรือหรือเปล่า?”
หล่างหงจวินส่ายหน้าเอ่ยว่า: “ผมรู้แค่ขั้นตอนการทำงานคร่าว ๆ แต่ไม่รู้วิธีทำงานอย่างรูปธรรม คงทำงานจิปาถะล่ะมั๊ง ไหน ๆ ก็มาครั้งแรก ยังไงก็ต้องเรียนรู้เป็นหลัก งานนี้คงจะลำบากไม่น้อย น่าจะไม่ได้กลับบ้านเป็นปีครึ่ง”
ขณะที่คนอื่นเพิ่งจะเรียนมัธยมต้น เขาก็สอบมหาลัยติดอันดับของรัฐบาลได้แล้ว
ส่วนคนอื่นขณะที่เตรียมสอบเข้ามหาลัย เขาก็เป็นนักเรียนทุนที่ทางรัฐบาลส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ
เหล่าคนหนุ่มสาวในตอนนั้นก่อนจะมาอเมริกา ก็โอบอุ้มความไม่ธรรมดาไว้ในใจ
เวลานั้น ประจวบกับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วซิลิคอนวัลเลย์ ยุคทองที่อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงโลก หล่างหงจวินเห็นเหมือนกับเขาจางเฉาหยางที่เรียนอยู่อเมริกาด้วยกันกลับมาประเทศมาก่อตั้งโซวหู และก็เห็นเหมือนหลี่เหยียนหงที่เรียนอยู่อเมริกากลับมาก่อตั้งไป่ตู้ในประเทศ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
หม่าหลังนเอ๋ย หม่าหลัน!! คุณมึงมีสิทธิ์ไปสอนคนอื่นด้วยหรอ ตัวคุณมึงเองยังทำที่พูดไม่ได้เลย ยังมีน่าไปสอนคนอื่น 555 สนุกมาๆเลยครับ เรื่องแรกเลยที่อ่านแล้วอินขนาดนี้ ขอบคุณที่ทำออกมาให้อ่านครับ แต่ปรับให้ผญ.ที่เข้าหาพระเอก ไม่ต้องลุกหนักเกินไป มันดูน่าเบื่อ ดูขัดใจกับคนอ่าน เรื่องรักที่มีแต่พระเอกเข้าใจได้ แต่เรื่องที่อ่อยพระเอกขั้นสุด มันดูน่าเบื่อเกินไป ไม่ฟิน...
หม่าหลังนมากก...
สะใจมากกก...
หม่าหลันมันไม่ได้ไร้เดียงสาต่อโลกหรอก แต่เขียนให้ถูกคือหม่าหลันมันโง่นั้นเอง เข้ามหาลัยมีชื่อเสียงได้ไง โง่ดักดานขนาดนี้ อาจารย์ที่เขียน ก้เขียนให้อีหม่าหลันดูดีเกิ้น 555...
เอาตรงๆน่ะ ผมชอบที่พระเอกมีสาวมาติด แบบเป็นปกติ หลงรักพระเอกโงหัวไม่ขึ้นผมไม่ขัดใจหรอก มาขัดใจตอนคือแบบผญ เรื่องนี้มีนลุกหนักเกินไป จนทำใจอ่านแล้วขัดใจ ถ้าลุกพอประมาณแบบนี้คืออ่านสนุกเว่อร์ แต่นี่อ่อยหนักจนเกิน เกิดอาการขัดใจสุดๆ 555...
ห๊า พระเอกไปเป็นหนี้พวกหล่อนตรงไหน พวกตัวเองชอบเย่เฉินเอง เย่เฉินไม่ได้บังคับ แล้วจะให้พระเอกคืนความรักให้พวกเอ็งเนี่ยน่ะ ส่วนพระเอกกุเห้นมึงก้ปวดใจกับผู้หญิงทุกคนแหละ -.-"...
อ๋อ พึ่งรู้ว่าพระเอกไปช่วยใคร ก้คิดว่าพระเอกชอบคนนั้น ในใจมีเขาอยู่ จะหลุดกับความคิดเฟ่ยเข้อสินถึงๆด้บอกเรื่องนี้มีแต่พวกหลงตัวเอง มีแค่ชูหรันกับซิวอี้นี่แหละความรักผญ.ดี ๆม่หลงตัวเองขนาดนั้น ขอโทษด้วยครับพอดีอินไปหน่อย...
ผู้หญิงเรื่องนี้หลงตัวเองโครต เป้นเพราะชูกันเถอะ พระเอกถึงได้มีแรงผลักนั้น ไม่ใช่นานาโกะ มโนเก่งเนาะ อีเฟ่ย...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...