สีหน้าของอาหม่ายิ่งมืดคล้ำลงไปอีก พร้อมกับกัดฟันกล่าวออกมาว่า “แกเชื่อหรือเปล่า? ตอนที่แกทำการผ่าตัดอยู่ ฉันสามารถสั่งให้คนไม่ฉีดยาชาให้กับแกก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น แกจะได้พบกับประสบการณ์ชำแหละพันมีด ”
เย่เฉินเพียงพยักหน้าลงเล็กน้อย พลางถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีชื่นชมว่า “ดี อันนี้ดี ถือว่ามีความคิด!”
พูดจบ พลันหันไปถามหมอชาวอินเดียด้วยความสงสัยว่า “นายคือฮาร์ดิกใช่ไหมนายคือแพทย์หลักของที่นี่งั้นเหรอ?”
ฮาร์ดิกพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยท่าทีไม่เป็นธรรมชาตินัก “ฉันแค่รับหน้าที่ทำการผ่าตัดเท่านั้น เรื่องอื่นฉันไม่เกี่ยว”
“ดี” เย่เฉินพยักหน้าอีกครั้ง พลางพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังว่า “นายทำได้ดี ถือว่าเป็นคนที่ใช้ได้”
อะเหลี้ยงพลันรู้สึกจับต้นชมปลายไม่ถูก เขาหันกลับไปถามอาหม่าว่า “อาหม่า ไอ้นี่คงไม่ใช่ตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? ทำไมฉันรู้สึกว่ามันเหมือนกับคนเสียสติไปแล้วเลยล่ะ?”
อาหม่าเองก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน
เพื่อความระมัดระวังของตัวเอง เขาหันไปเปิดปากถามอะเหลี้ยงว่า “ตอนที่พวกแกกลับมา เจอใครที่ดูน่าสงสัยหรือเปล่า มีใครสะกดรอยตามมาไหม?”
“จะเป็นไปได้ยังไง” อะเหลี้ยงตอบกลับมาด้วยท่าทีจริงจัง “ระหว่างทางที่มาผมมองกระจกหลังอยู่ตลอด ไม่มีรถคันไหนตามพวกเรามาเลยสักคัน แล้วก็ไม่มีรถคันไหนมีทีท่าผิดปกติด้วย อีกทั้ง ตอนที่เข้ามา เหล่าโม่ก็มั่นใจแล้วว่า รอบ ๆ ตัวไม่ได้มีรถคันที่น่าสงสัยตามมาด้วย”
อาหม่าพยักหน้าลงเล็กน้อย พร้อมกับหันไปมองเย่เฉิน พลางถามด้วยความสงสัยว่า “ไอ้หนู ฉันอยากรู้ว่า ทำไมแกถึงไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยล่ะ ? แกไม่กลัวตายเหรอ?”
เย่เฉินเพียงแย้มยิ้มตอบกลับมาว่า “กลัวตาย”
ลุงหท่าเพียงส่งเสียงรับคำไปเล็กน้อย จากนั้นพลันหมุนตัวเตรียมที่จะจากไป จู่ๆ เย่เฉินพลันหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชาว่า “ฉันคิดว่าพวกแกมีการมีงานในเม็กซิโกที่น่าทึ่งกว่านี้ซะอีก หลังจากรอมาเป็นครึ่งวัน ที่แท้ก็เป็นงานที่แบบนี้เองเหรอ แม้แต่งานแบบนี้ก็ยังทำเงินได้ด้วย พวกแกไม่กลัวกรรมจะตามสนองหรือยังไงกัน!”
อาหม่ารับหันหน้ากลับไป พร้อมกับจ้องมองไปที่เย่เฉินด้วยท่าทางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “แกหมายความว่าอะไร?”
เย่เฉินเพียงแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ยถามกลับไปว่า “ช่วงนี้พวกแกติดต่อคนที่ชื่อเหมยอวี้เจินไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“บัดซบ!” ทั้งอาหม่าและอะเหลี้ยงที่ได้ยินแบบนี้ ทั้งสองคนพลันเกิดอาการตกตะลึงจนถึงสุดขีดไปในทีเดียว พลางชักปืนออกมาชี้ไปที่เย่เฉิน อะเหลี้ยงพลันร้องถามออกมาว่า “พูด แกไปได้ยินคนพูดคำว่าเหมยอวี้เจินสามคำนี้มาจากไหน? แล้วแกเป็นสายให้กับใครกันแน่!”
แต่อาหม่ากลับรู้สึกว่าเย่เฉินไม่น่าเป็นสายลับเขาจึงกดไปที่ไกปืนเล็กน้อย พลางจ้องไปที่เย่เฉินด้วยท่าทีโหดร้ายว่า“น้องชาย พวกเรามีอะไรไม่ควรพูดความลับต่อกัน ตกลงแกเป็นคนของใครกันแน่? ทำไมถึงได้รู้จุกกับเหมยอวี้เจินได้?”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
หม่าหลังนเอ๋ย หม่าหลัน!! คุณมึงมีสิทธิ์ไปสอนคนอื่นด้วยหรอ ตัวคุณมึงเองยังทำที่พูดไม่ได้เลย ยังมีน่าไปสอนคนอื่น 555 สนุกมาๆเลยครับ เรื่องแรกเลยที่อ่านแล้วอินขนาดนี้ ขอบคุณที่ทำออกมาให้อ่านครับ แต่ปรับให้ผญ.ที่เข้าหาพระเอก ไม่ต้องลุกหนักเกินไป มันดูน่าเบื่อ ดูขัดใจกับคนอ่าน เรื่องรักที่มีแต่พระเอกเข้าใจได้ แต่เรื่องที่อ่อยพระเอกขั้นสุด มันดูน่าเบื่อเกินไป ไม่ฟิน...
หม่าหลังนมากก...
สะใจมากกก...
หม่าหลันมันไม่ได้ไร้เดียงสาต่อโลกหรอก แต่เขียนให้ถูกคือหม่าหลันมันโง่นั้นเอง เข้ามหาลัยมีชื่อเสียงได้ไง โง่ดักดานขนาดนี้ อาจารย์ที่เขียน ก้เขียนให้อีหม่าหลันดูดีเกิ้น 555...
เอาตรงๆน่ะ ผมชอบที่พระเอกมีสาวมาติด แบบเป็นปกติ หลงรักพระเอกโงหัวไม่ขึ้นผมไม่ขัดใจหรอก มาขัดใจตอนคือแบบผญ เรื่องนี้มีนลุกหนักเกินไป จนทำใจอ่านแล้วขัดใจ ถ้าลุกพอประมาณแบบนี้คืออ่านสนุกเว่อร์ แต่นี่อ่อยหนักจนเกิน เกิดอาการขัดใจสุดๆ 555...
ห๊า พระเอกไปเป็นหนี้พวกหล่อนตรงไหน พวกตัวเองชอบเย่เฉินเอง เย่เฉินไม่ได้บังคับ แล้วจะให้พระเอกคืนความรักให้พวกเอ็งเนี่ยน่ะ ส่วนพระเอกกุเห้นมึงก้ปวดใจกับผู้หญิงทุกคนแหละ -.-"...
อ๋อ พึ่งรู้ว่าพระเอกไปช่วยใคร ก้คิดว่าพระเอกชอบคนนั้น ในใจมีเขาอยู่ จะหลุดกับความคิดเฟ่ยเข้อสินถึงๆด้บอกเรื่องนี้มีแต่พวกหลงตัวเอง มีแค่ชูหรันกับซิวอี้นี่แหละความรักผญ.ดี ๆม่หลงตัวเองขนาดนั้น ขอโทษด้วยครับพอดีอินไปหน่อย...
ผู้หญิงเรื่องนี้หลงตัวเองโครต เป้นเพราะชูกันเถอะ พระเอกถึงได้มีแรงผลักนั้น ไม่ใช่นานาโกะ มโนเก่งเนาะ อีเฟ่ย...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...