ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 4989

เย่เฉินนิ่งไปชั่วครู่ แล้วพูดต่อ“อยากจะพัฒนาไปให้เร็วเหนือกว่าคนอื่น ก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบความคิดที่มีในตอนนี้ ไม่มีคน หรือหาคนไม่ได้ หากยังหยุดอยู่ที่การแก้ปัญหาเรื่องหาลูกมือ ก็ยากที่จะทำการใหญ่ได้”

“คิดอยากจะทำการใหญ่นั้น รูปแบบโครงสร้างก็ต้องใหญ่พอ วิสาหกิจขนาดใหญ่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาในแบบเดียวกันนี้ จะไม่มาขบคิดถึงวิธีการสร้างทีมตั้งแต่เริ่มต้น จากนั้นก็ค่อยไปคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทางออกแรกที่พวกเขาคิดนั้น คือการคว้านซื้อผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่คิดว่าเหมาะสมนั้นมา”

พูดจบ เย่เฉินก็พูดต่อ“อีลอน มัสก์จะไม่เสียเวลาและความพยายามอันมีค่า เพื่อสร้างทวิตเตอร์ด้วยตัวเอง แต่จะซื้อทวิตเตอร์นั้นมา สำหรับเขาแล้วมันคือวิธีที่ประหยัดที่สุด อันที่จริงเราเองก็เหมือนกัน หากยังต้องไปรับสมัครคนเข้ามา ตัวแปรในนี้ก็จะมีมากเกินไป ถึงคุณคาดว่าจะใช้เวลาสองปีในการแก้ปัญหานี้ได้ แต่หากทางด้านบุคลากรเกิดการเปลี่ยนแปลง ระยะเวลาตรงนี้ก็จะยืดยาวออกไปไม่มีกำหนด”

“ก่อนอื่นระยะเวลาในการรับสมัครนั้นจะต้องกินเวลามากกว่าที่คาดไว้ จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าภายในสามเดือนจะมีพนักงานที่เพียงพอ แต่เอาเข้าจริงอาจต้องใช้เวลานานถึงครึ่งปีหรือมากกว่านั้น ”

“ประการที่สองคือความมั่นคงของบุคลากร ทีมงานที่รับเข้ามาในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนเพื่อทำการฝึกฝน แต่เมื่อคนที่รับเข้ามาแล้วได้รับการฝึกฝนจู่ๆก็จะลาออกไป อย่างนั้นแล้วเวลาที่ผ่านมาก็เท่ากับสูญเปล่า ทั้งรับสมัครและทั้งฝึกฝน ใช้เวลาในการเพียรพยายามกว่าครึ่งปี ถึงเวลาก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องวนลูปกลับไปในรูปแบบเดิมนี้อีกครั้ง ”

“นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่พนักงานมีความมั่นคงแล้วก็เพียงพอ ความมั่นคงที่ว่านั้น คือความสามารถที่พวกเขาจะแบกรับหน้าที่ที่มีของพวกเขาได้ ในส่วนนี้เรายังต้องลงทุนกับการลองผิดลองถูกอีก เพราะหากเลือกผิดคน ทุกอย่างก็ต้องวนลูปกลับไปที่เดิมอีกครั้ง ”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ใช้เวลาสามปีไม่แน่ว่าก็อาจจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่เราต้องการได้”

“นอกจากนี้ การทำงานก็ควรให้สำเร็จลุล่วงในคราเดียวเสมอ หากแค่เริ่มต้นก็โซซัดโซเซ กะโผลกกะเผลก กำลังใจและความมั่นใจที่มีก็จะถูกใช้ไปจนหมดอย่างไม่คาดคิด และการจะทำให้มั่นคงและแข็งแกร่งนั้นก็จะเป็นเรื่องที่ยาก”

พูดมาถึงตรงนี้ เย่เฉินหันไปมองหล่างหงจวิน พูดอย่างจริงจัง“เฮียหล่างถึงตอนนี้พี่จะมีใจฮึกเหิม แต่เมื่อต้องเจอกับปัญหาและความยากลำบากของบุคลากรในช่วงเริ่มต้น ปีสองปีผ่านไป ตัวพี่เองก็จะไม่มีความรู้สึกตื่นตัวอย่างในตอนนี้แล้ว ”

หล่างหงจวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าให้อย่างช้าๆ แล้วถอนหายใจ“คุณพูดถูก กำลังใจและความมั่นใจนั้นมีแต่จะลดลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็อาจเหนื่อยล้า ก่อนหน้านั้นผมเองก็เคยเป็น ลาออกจากงานแรก คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะตัวเองมีความรู้ความสามารถที่แท้จริง การจะหางานใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่คิดว่า มันจะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าอยู่ซ้ำๆ จนสุดท้ายความฮึกเหิมที่มีก็ลงน้อยถอยลงไป……”

พูดมาถึงตรงนี้ หล่างหงจวินก็แน่นิ่งไป พูดพึมพำ“ ผมก็เป็นแบบนี้ จากผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารที่น่าภาคภูมิและหยิ่งผยอง จนในที่สุดก็ต้องไปเป็นกะลาสีเรือที่ใช้แรงงานในเม็กซิโก……”

เย่เฉินยกยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยพูดขึ้นมา“เฮียหล่าง เงินเดือนที่สูงที่สุดในตอนที่ยังทำงานนั้น คือบริษัทไหน?”

หล่างหงจวินตอบกลับ“เป็นบริษัทสื่อสารที่เก่าแก่แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา”

เย่เฉินถามต่อ“ บริษัทนั้นตอนนี้มีมูลค่าการตลาดเท่าไร?”

หล่างหงจวินครุ่นคิด แล้วกล่าว“หลายปีก่อนบริษัทเจริญรุ่งเรืองมาก มูลค่าตลาดสูงสุดแตะถึงหมื่นล้านเหรียญได้ แต่ด้วยสถานการณ์ฟองสบู่แตกที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ผลประกอบการก็ดิ่งลง ตอนที่ผมถูกเลิกจ้างไปนั้น มูลค่าตลาดน่าจะอยู่ที่พันกว่าล้านเหรียญได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน