แม้ว่าหลาย ๆ ศาสนามีโลกทัศน์แตกต่างกัน แต่จะเอ่ยถึงแนวคิดหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย นั่นก็คือยุคธรรมปลาย
พูดอย่างง่าย ๆ ศาสนาพวกนี้ต่างคิดว่า มนุษย์พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ กับโลก รวมทั้งจักรวาลค่อย ๆ น้อยลง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระยะห่างระหว่างมนุษย์กับเทพไกลขึ้นเรื่อย ๆ
จากมุมมองของลัทธิเต๋า เดิมทีโลกมีปราณทิพย์กระจายอยู่เต็ม ขอเพียงเข้าใจวิธีการรับและเปลี่ยนแปลงปราณทิพย์ เดิมทีมนุษย์สามารถเป็นเซียนด้วยการขึ้นสู่สวรรค์ แต่ตอนนี้ปราณทิพย์ในธรรมชาติแทบจะแห้งขอด มนุษย์เลยสูญเสียความเป็นไปได้ที่จะขึ้นสู่สวรรค์เป็นเซียน ดังนั้นนี่เลยเป็นยุคธรรมปลายในสายตาของพวกเขา
และไม่ถกว่าการพูดนี้จริงหรือเปล่า แต่สำหรับคนที่เข้าใจปราณทิพย์ในช่วงเวลานี้ พวกเขาสัมผัสด้วยตัวเองได้ว่าธรรมชาติไม่มีปราณทิพย์อยู่แล้ว อยากจะได้ปราณทิพย์ ทำได้แต่ผ่านโอสถ หรือว่าของวิเศษอย่างอื่นที่แฝงไว้ด้วยปราณทิพย์
ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งพึ่งพาโอสถที่ผู้มีพระคุณให้ จึงจะค่อย ๆ เรียนรู้ปราณทิพย์ หลายปีมานี้ วิธีที่เขาได้รับปราณทิพย์ นอกเหนือจากโอสถที่ผู้มีพระคุณให้ ยังมีค่ายกลพิเศษที่ผู้มีพระคุณวางไว้ที่ส่วนในของฐานองค์กรพั่วชิง
เมื่อค่ายกลนี้เริ่มทำงาน จะผลิตปราณทิพย์อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แม้ว่าปราณทิพย์ที่ผลิตออกมาไม่นับว่ามากนัก แต่เมื่อหลายเดือนติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ก็นับว่าพอดูทีเดียว
สี่ท่านเอิร์ลผู้ยิ่งใหญ่ในองค์กรพั่วชิง ก็โชคดีได้รับโอกาสเก็บตัวฝึกฝนในค่ายกล เมื่อหลายปีมานี้ที่ผ่านมาด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่เวลาส่วนใหญ่ของค่ายกลนั้น จะให้บริการเพียงผู้มีพระคุณคนเดียว
และด้วยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สี่ท่านเอิร์ลผู้ยิ่งใหญ่ขององค์กรพั่วชิง จึงมีความรู้สึกไวเป็นอย่างยิ่ง ต่อร่องรอยของปราณทิพย์บริเวณโดยรอบ
มีความรู้สึกไวต่อกลิ่นของอาหาร เหมือนหนูที่หิวจนท้องร้องอย่างไรอย่างนั้น
ชั่วชีวิตของท่านเอิร์ลฉางเซิ่งผู้นี้ มีเครื่องมือทางธรรมชิ้นหนึ่งที่เป็นของตัวเอง นั่นก็คือดาบไม้หนึ่งเล่มที่ผู้มีพระคุณประทานให้เขา มีค่ายกลที่สามารถโจมตีได้ อยู่ในดาบไม้นี้
ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งสังเกตจ้าวเหล่าซื่ออยู่สักพัก ก็ได้ข้อสรุป : คนผู้นี้ไม่เชี่ยวชาญปราณทิพย์ นี่ไม่ได้เป็นเพียงเพราะตัวเองไม่พบการผันแปรของปราณทิพย์ใด ๆ จากตัวอีกฝ่าย ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ จ้าวเหล่าซื่อคนนี้ธรรมดาเกินไป หน้าตาและสีหน้าของเขา ล้วนเป็นกลิ่นอายธรรมดาที่ดั้งเดิมบนตัวชาวเมือง คนที่เชี่ยวชาญปราณทิพย์ ไม่มีทางที่จะมีกลิ่นอายตลาดล่วงพวกนี้ได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้น ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งคาดคะเน คนผู้นี้น่าจะไม่รู้ว่าแหวนปานจื่อในมือของตัวเขาเองนั้น อันที่จริงเป็นเครื่องมือทางธรรมชิ้นหนึ่ง !
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มสนใจแหวนปานจื่อวงนี้
ครั้นแล้ว เขาแสร้งทำเป็นมองซ้ายแลขวาแล้วมาที่ข้างหน้าจ้าวเหล่าซื่อ จากนั้นจึงจะเอ่ยปากถามเขา : “น้องชาย รบกวนถามหน่อยว่า หากว่าฉันอยากไปใจกลางเมือง ควรจะไปยังไงดี ?”
จ้าวเหล่าซื่อหันหน้ามาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเป็นตาเฒ่าที่ไม่เตะตา เลยพูดอย่างไร้มารยาท : “นี่ยังจะต้องถามอีกเหรอ ? นั่งแท็กซี่ รถไฟฟ้าใต้ดิน รถบัสสนามบิน คันไหนบ้างที่ไม่ถึงเขตเมือง ?”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
ตอนนี้กุต้องมาอ่านละครลิงโง่ๆ ภายในตระกูลเซียวใช่ไหม กุต้องเลื่อนให้พ้นๆอ่ะ...
ขัดใจกับไแคนครอบครัว เซียวชูหรันชิบหาย ไม่ว่าใครก้โง่จนใสซื่อ ไอฉางควรก็ปิดแหก ไอหม่าหลันก็น่าเงิน สุดท้ายครอบครัวนี้แม่งไม่สมประกอบทุกตัว...
แทนทีจะแยกออกไปอยู่คนเดียว ถ้าก้เป้นฉางควนอยากอยู่กับรักแรกก้ต้องลงทุน แต่นี่มึงยังไม่กล้ากับหม่ากันเลย กลัวจนขึ้นมาสมอง แล้วหวังอยากจะอยุ่กับหานเหมยชิง อยากจะระลึกความหลัง เห้นแก่ตัวเกินไปไอห่า กลัวหม่าหลันแค่ตาย ปอดแหกแบบนี้มึงก้อยุ่กับอีหม่าหลันไปเถอะ สมน้ำหน้าแบ่งทำเพื่อรักแรกมึงยังไม่กล้าทำเลย แล้วหวังจะอยุ่กับเหมยชิง...
ไอเซียวฉาวควนแม่งมาหวงก้างจัด เฮ่อกับหารเหม่ยชิงโครตเหมาะกันอยากให้2คนนี้คบกันมาก ไอเซียวฉางควนกับอีแค่หม่าหลันมคงยังไม่กล้า แล้วนยังจะคิดอยุ่กับหานเหม่อยชิง มึงปอดแหกแบบนี้มึงก้ไม่มีวันสมหวังหรอก ไอโง่...
ผญ.เรื่องนี้แม่งหลงตัวเองทั้ง มีแค่ตงเสวี่นร ชูกรัน กูซิวอี๋ นอกนั้นหลงตัวเองชิบหาย...
นิยายเรื่องนี้สร้างเป็นละครสั้นหรือยัง...
อัพเดตตอนใหม่ทีครับ...
อ่านมาจะ4พันตอนละพระนางยังไม่ำด้กันเลย นิสัยพระเอกก็สุดๆยังดีเนื้อเรื่องสนุก...
อ่านต่อได้ตรงไหนครับ...
สงสารหวังเจิ้งกาง หลังจากมอบบ้านมอบรถให้เย่เฉิน ก้ไม่เห็นเยเฉินพูดถึงเลย เหมือนเป็นตัวประกอบ ตอนแรกๆ 555...