ตอนแรกเริ่มหลินหว่านเอ๋อร์ยังรู้สึกเขินอายอยู่เลย แต่ไม่นานนัก เธอก็ไม่เกี่ยวเรื่องนี้มาใส่ใจอีก แค่อุ้มเย่เฉินเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ค่อย ๆ ขยับร่างกายที่เต็มเปี่ยมปฏิบัติแผลของเขาเบา ๆ
เสี้ยววินาทีที่เย่เฉินนอนลงไปบนเตียง เขาก็บังเอิญเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของหลินหว่านเอ๋อร์ เม็ดเหงื่อบนหน้าผาก รวมไปถึงร่างกายที่งดงามและไม่ทันได้ปิดบังนั่นของเธอ เขาทราบดีว่าการมองแบบนี้มันเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นจึงรีบหลับตาลง
เมื่อหลินหว่านเอ๋อร์เห็นแบบนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกเขินอายมากกว่าเดิม แต่ก็ทำได้แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นำผ้าห่มบาง ๆ ของตัวเองคลุมตัวอานฉี่ซาน และวางหมอนสองใบไว้ด้านหลังเขา เพื่อให้เขาสามารถนั่งพิงกับหัวเตียงได้
ตลอดทั้งขั้นตอนนี้ เย่เฉินไม่เคยลืมตาขึ้นมาอีกเลย ทำให้หลินหว่านเอ๋อร์รู้สึกอบอุ่นหัวใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
หลังจากจัดการเรื่องราวของเย่เฉินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอถึงจะหยิบชุดคลุมยาวฝ้ายที่แขวนอยู่ข้างหัวเตียงมาห่อหุ้มร่างกายที่งดงามนั่นของตัวเองเอาไว้
จากนั้นเธอก็รีบเดินมาข้างเตียง นั่งลงบนพื้นข้างหัวเตียงพลางมองเย่เฉินพลางถาม: “พี่เย่เฉิน ตอนนี้พี่รู้สึกยังไงบ้างคะ?”
เมื่อกี้เย่เฉินได้ยินเสียงที่เธอใส่เสื้อผ้า และได้ยินเธอมาถามข้างหูอีก ดังนั้นเขาถึงจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
แม้เขาจะรู้อยู่ว่าหลินหว่านเอ๋อร์ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่เขาก็ทราบเช่นกันว่าหลินหว่านเอ๋อร์น่าจะไม่ใช่ศัตรูของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงขยับริมฝีปากที่แห้งกรังนั่น เอ่ยปากถาม: “คุณหนูหลิน……ทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่ได้?”
หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มแล้วตอบกลับ: “ก่อนที่จะตอบคำถามพี่ เดี๋ยวหนูช่วยตรวจชีพจรให้พี่ก่อนค่ะ”
พอพูดจบ เธอก็ดึงแขนข้างขวาของเย่เฉินออกมาจากผ้าห่มอย่างอ่อนโยน นำนิ้วมือวางลงบนชีพจรของเย่เฉิน หลังจากตรวจเช็คชีพจรเสร็จเรียบร้อย จึงเอ่ยปากพูด: “แม้สภาพอาการบาดเจ็บภายในร่างกายของพี่เย่เฉินจะสาหัสมาก แต่โชคดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต”
เย่เฉินถามอย่างตะลึง: “เธอเข้าใจวิชาแพทย์เหรอ?”
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า: “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พอเข้าใจอยู่บ้างค่ะ แต่ก็เข้าใจแค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละค่ะ”
เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างทอดถอนใจ: “ก่อนฉันจะออกเดินทาง ได้พกโอสถติดตัวจำนวนมาก สรุปตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรเลย……”
หลังจากพูดจบ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบถามหลินหว่านเอ๋อร์: “ใช่สิ วันนี้คือวันที่เท่าไหร่เดือนอะไร เวลากี่นาฬิกา?”
เย่เฉินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงตัวเองใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ ถึงจะปรากฏที่นี่อย่างกะทันหัน
หากเป็นช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก ๆ งั้นตัวเองก็ยังมีเวลารีบกลับบ้านไปทำลายจดหมายที่ทิ้งไว้ให้เซียวชูหรันได้อยู่ ถ้าเกิดเวลาผ่านไปนานมากแล้ว งั้นเซียวชูหรันคงจะรู้ความลับของตัวเองแล้วล่ะ……
หลินหว่านเอ๋อร์เห็นว่าเขาตึงเครียดอย่างยิ่ง จึงรีบตอบกลับว่า: “พี่เย่เฉินไม่ต้องกังวลค่ะ หว่านเอ๋อร์เพิ่งได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากชานเมืองทางทิศใต้ ผ่านไปไม่กี่วินาทีพี่ก็ปรากฏในบ่อน้ำพุร้อนแล้ว คาดว่ากระทั่งวินาทีนี้ เวลาก็น่าจะเพิ่งผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงเองค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เย่เฉินก็ถอนหายใจโล่งได้สักที
หลินหว่านเอ๋อร์นึกอะไรบางอย่างได้จากคำพูดที่เขาพูดพึมพำในก่อนหน้านี้ จึงยิ้มกะทันหันแล้วพูดว่า: “ใช่สิ โอสถ!”
ดังนั้นเขาจึงไต่ถามอีกครั้ง: “คุณหนูหลิน ตก……ตกลง……ฉันปรากฏที่นี่ได้ยังไงกันแน่?”
หลินหว่านเอ๋อร์อมยิ้ม ใช้นิ้วชี้ไปทางแหวนที่สวมใส่อยู่บนนิ้วพลางตอบกลับอย่างอ่อนโยน: “สาเหตุที่พี่เย่เฉินปรากฏตัวที่นี่ได้นั้น เป็นเพราะพี่สวมใส่แหวนที่หว่านเอ๋อร์มอบให้ไว้บนตัวค่ะ”
เย่เฉินมองแหวนรอบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วถาม: “แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับมันเหรอ?”
หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มแล้วตอบกลับ: “ต้องมีความเกี่ยวข้องกันอยู่แล้วสิคะ เพราะมันเป็นตัวการที่ส่งพี่มาหาหว่านเอ๋อร์เอง”
เมื่อได้ยินคำตอบของหลินหว่านเอ๋อร์ เย่เฉินก็รู้สึกช็อกอย่างยิ่ง!
เขาพูดพึมพำโดยสัญชาตญาณ: “แค่แหวนเล็ก ๆ วงหนึ่ง สามารถส่งสิ่งมีชีวิตตัวเป็น ๆ อย่างฉันมาที่นี่ได้เลยเหรอ?! นะนี่……นี่มันจะมีทางเป็นไปได้ยังไง?!”
หลินหว่านเอ๋อร์ขบขำเบา ๆ แล้วพูดอย่างจริงจัง: “พี่เย่เฉินคะ แหวนวงนี้ไม่ได้แค่ส่งพี่มาถึงที่นี่อย่างเดียวนะคะ แม้หว่านเอ๋อร์จะไม่รู้ว่าเมื่อกี้พี่ประสบพบเจอกับเรื่องราวอะไรมา แต่สิ่งที่หว่านเอ๋อร์สามารถยืนยันได้คือ มันได้ช่วยชีวิตพี่เอาไว้”
ตอนนี้เย่เฉินถึงจะดึงสติกลับมาได้ แล้วพูดโพล่งออกมา: “เธอพูดถูก……จากศักยภาพของฉัน เดิมทีไม่สามารถโชคดีเอาชีวิตรอดได้แน่ การที่สามารถมีชีวิตรอดและปรากฏตัวที่นี่ได้นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่แหวนวงนี้ประทานให้……”
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้าเบา ๆ ยิ้มพลางพูด: “แหวนวงนี้มีความสามารถอย่างหนึ่งยอดเยี่ยมมาก ๆ นั่นก็คือเมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด มันสามารถส่งพี่ไปถึงหน้าคนที่พี่อยากเจอมากที่สุด ไม่ว่าพี่และคนคนนั้นจะห่างกันไกลมากเพียงใด ขอแค่จิตใจพี่นึกคิดถึงเธอ แหวนก็จะทำให้พี่ปรากฏตรงหน้าเธอทันที!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
หม่าหลันมันไม่ได้ไร้เดียงสาต่อโลกหรอก แต่เขียนให้ถูกคือหม่าหลันมันโง่นั้นเอง เข้ามหาลัยมีชื่อเสียงได้ไง โง่ดักดานขนาดนี้ อาจารย์ที่เขียน ก้เขียนให้อีหม่าหลันดูดีเกิ้น 555...
เอาตรงๆน่ะ ผมชอบที่พระเอกมีสาวมาติด แบบเป็นปกติ หลงรักพระเอกโงหัวไม่ขึ้นผมไม่ขัดใจหรอก มาขัดใจตอนคือแบบผญ เรื่องนี้มีนลุกหนักเกินไป จนทำใจอ่านแล้วขัดใจ ถ้าลุกพอประมาณแบบนี้คืออ่านสนุกเว่อร์ แต่นี่อ่อยหนักจนเกิน เกิดอาการขัดใจสุดๆ 555...
ห๊า พระเอกไปเป็นหนี้พวกหล่อนตรงไหน พวกตัวเองชอบเย่เฉินเอง เย่เฉินไม่ได้บังคับ แล้วจะให้พระเอกคืนความรักให้พวกเอ็งเนี่ยน่ะ ส่วนพระเอกกุเห้นมึงก้ปวดใจกับผู้หญิงทุกคนแหละ -.-"...
อ๋อ พึ่งรู้ว่าพระเอกไปช่วยใคร ก้คิดว่าพระเอกชอบคนนั้น ในใจมีเขาอยู่ จะหลุดกับความคิดเฟ่ยเข้อสินถึงๆด้บอกเรื่องนี้มีแต่พวกหลงตัวเอง มีแค่ชูหรันกับซิวอี้นี่แหละความรักผญ.ดี ๆม่หลงตัวเองขนาดนั้น ขอโทษด้วยครับพอดีอินไปหน่อย...
ผู้หญิงเรื่องนี้หลงตัวเองโครต เป้นเพราะชูกันเถอะ พระเอกถึงได้มีแรงผลักนั้น ไม่ใช่นานาโกะ มโนเก่งเนาะ อีเฟ่ย...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โง่ทั้งพระเอกทั้งหลิวม่านฉง ทำตัวเป้นเมียพระเอกสะงั้น จนต้องเลื่อนผ่านขก.อ่าน ขัดใจ พระเอกแม่งก้จะแคร์ผู้หญิงทั้งโลกเลยรึไง...
ไอหลิวท่านฉง ก้มั่นหน้าเกินน่ะ คิดว่าพระเอกจะชอบมึงรึไง เล่นตัว จะหลุด...
ตระกูลเฟ่ยแม่งก้น่าขยะแขยงกันทุกตัวแหละ มีแค่เฟ่ยเข่อขิน เป้นตระกุลเดียวที่ไม่อยากให้เย่เฉนร่วมมือด้วยเลยจริงๆ เฟ่ยเจี้ยนจงแม่งก้ไม่ใช่คนดีไรนักหรอก ปากก้เอาเครื่องสวรรค์มาอ้าง สุดท้ายก้อยากจะไว้ชีวิตหลานตัวเอง น่าขยะแขยง...