เย่เฉินฟังแล้วรู้สึกตกใจ และอดไม่ได้ที่จะถามเธอ : “ตอนนั้นที่ยุโรปเหนือ คุณยังมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งติดตามอยู่เป็นเพื่อนด้วย ตอนนั้นคุณเรียกเขาว่าคุณปู่ต่อหน้าผม แต่อันที่จริงเขาเป็นเด็กกำพร้าคุณเลี้ยงดูจนเติบโตด้วยสินะครับ ?”
หลินหว่านเอ๋อร์พูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย : “ผู้อาวุโสคนนั้นที่คุณชายว่า ชื่อว่าเหล่าจาง เขาเป็นทารกกำพร้าคนสุดท้ายที่ดิฉันรับเลี้ยงที่เย่นจิง ก่อนหน้าออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา หลังจากเหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโล”
หยุดไปพักหนึ่ง หลินหว่านเอ๋อร์จึงพูดต่อ : “อันที่จริงเด็กแบบนี้ส่วนใหญ่ จะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองภายใต้การช่วยเหลือของดิฉัน หลังจากอายุยี่สิบกว่าปี มีทรัพย์สมบัติบางอย่างที่บอกว่ามอบให้พวกเขาจัดการแทน แต่อันที่จริงก็เทียบเท่ากับการที่ดิฉันมอบของขวัญให้พวกเขาก้อนหนึ่งแล้ว ในสองร้อยกว่าปีมานี้ ไม่รู้ว่ามอบทรัพย์สมบัติไปเท่าไหร่แล้ว”
“เด็กที่มีความผูกพันกับดิฉันอย่างลึกซึ้ง และเต็มใจที่อยู่ข้างกายดิฉัน เหมือนอย่างเหล่าจางแบบนั้นมีเพียงน้อยนิด ดิฉันจึงจะพาไปด้วยตลอด อย่างไรซะดิฉันเป็นผู้หญิงบอบบาง ไม่ได้มีอุบายป้องกันตัวอะไร ตอนที่หลบหนีไปทั่วสารทิศ จำเป็นต้องมีคนดูแลอยู่ข้าง ๆ ด้วยเหมือนกัน”
“นอกเหนือจากเหล่าจางแล้ว เดิมทียังมีเด็กสาวชาวสหรัฐอเมริกาที่เกิดเมื่อปี 1942 คนหนึ่งที่ติดตามอยู่ข้างกายดิฉันมาโดยตลอด แต่เมื่อหลายปีก่อนเธอได้จากไปด้วยโรคมะเร็ง”
“เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เป็นเด็กที่ดิฉันรับเลี้ยงก่อนหน้าเหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโล ตอนนั้นยังอยู่ในผ้าอ้อม ต่อมาดิฉันพาเขาไปสหรัฐอเมริกา เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเยลที่สหรัฐอเมริกา หลังจากจบการศึกษา ฉันให้เขาไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รับช่วงอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในมือของฉัน หลายปีมานี้เขาบริหารได้ดีมาก ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของท้องที่ไปแล้ว”
“เฒ่าแก่ซุนที่ช่วยดิฉันสืบข้อมูลของคุณชายไว้มากมายที่เย่นจิงนั่น ก็เป็นเด็กที่ดิฉันรับเลี้ยงก่อนเหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโลด้วยเหมือนกันค่ะ ก่อนหน้านี้ก็ร่ำเรียนหนังสือศึกษาเพิ่มเติมอยู่ที่สหรัฐอเมริกามาโดยตลอด และกลับมาสร้างมาตุภูมิเมื่อปี 1963 ต่อมาหลายปีมานี้ก็พัฒนาไปได้ไม่เลวเลยเหมือนกัน”
พูดถึงตรงนี้ หลินหว่านเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย แล้วบอก : “หลังจากดิฉันถึงสหรัฐอเมริกา ก็รับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่สหรัฐอเมริกาอยู่หลายคน แต่ว่าหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สอง นับวันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ยิ่งพัฒนาไปไกล กำลังขององค์กรพั่วชิงก็ยิ่งเข้มแข็งเติบใหญ่ ดิฉันจึงระมัดระวังมาก ไป ๆ มา ๆ พวกประเทศที่เป็นเกาะที่มหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิกใต้อยู่หลายสิบปี ระหว่างนี้ก็ไม่กล้ารับเลี้ยงอีก เมื่อสองสามปีก่อนไปที่ยุโรปเหนืออีกครั้ง ผลลัพธ์ได้พบกับคุณชายที่ยุโรปเหนือ……”
เย่เฉินฟังการบรรยายของหลินหว่านเอ๋อร์จนจบอย่างเงียบ ๆ และเกิดคลื่นโหมสาดซัดอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ
ประสบการณ์สามร้อยกว่าปีของหลินหว่านเอ๋อร์ไม่หนักหนาอะไร แต่ในความไม่หนักหนาอะไรนี้ ไม่รู้ว่าได้ครอบคลุมความยากลำบากกับเส้นทางกี่พันลี้ และไม่รู้ว่าแฝงการเปลี่ยนแปลงโลกไว้กี่ครั้ง
แม้จะพูดแบบนี้ แต่ต่อให้เธอเงยหน้ามองเพดาน แต่น้ำตาไหลออกจากเบ้าตาลงมาตามใบหน้าอย่างไร้การควบคุม
หลินหว่านเอ๋อร์รีบปาดน้ำตา น้ำตาเป็นประกายอยู่ในดวงตา กลับยิ้มถามเย่เฉิน : “จริงสิ ทำไมคุณชายถึงเห็นใจดิฉันคะ ?”
เย่เฉินพูดจากใจจริง : “แม้ว่าผมไม่ได้อายุยืน แต่พอนึกว่าผมอาจจะมีชีวิตอยู่ถึงสองร้อยปี ผมก็รู้สึกหวาดกลัวไม่หยุด ตอนนี้ได้ยินคุณบอกว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวอย่างคุณ ถึงกับมีชีวิตอยู่เกือบสี่ร้อยปีในโลกที่มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงนี้อยู่ตามลำพัง และเป็นสี่ร้อยปีที่สังคมมนุษย์ผันผวนไม่แน่นอนสุด ๆ อีกด้วย ระหว่างนี้ไม่รู้ว่าประสบอุปสรรคและระเหเร่ร่อนแค่ไหน ได้รับความทุกข์ทรมานมากแค่ไหน แค่คิดดูก็ชวนให้รู้สึกเห็นใจแล้ว……”
ในตอนนี้ หลินหว่านเอ๋อร์มองเย่เฉิน คิดแค่อยากร้องไห้โฮต่อหน้าเขา

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
หม่าหลันมันไม่ได้ไร้เดียงสาต่อโลกหรอก แต่เขียนให้ถูกคือหม่าหลันมันโง่นั้นเอง เข้ามหาลัยมีชื่อเสียงได้ไง โง่ดักดานขนาดนี้ อาจารย์ที่เขียน ก้เขียนให้อีหม่าหลันดูดีเกิ้น 555...
เอาตรงๆน่ะ ผมชอบที่พระเอกมีสาวมาติด แบบเป็นปกติ หลงรักพระเอกโงหัวไม่ขึ้นผมไม่ขัดใจหรอก มาขัดใจตอนคือแบบผญ เรื่องนี้มีนลุกหนักเกินไป จนทำใจอ่านแล้วขัดใจ ถ้าลุกพอประมาณแบบนี้คืออ่านสนุกเว่อร์ แต่นี่อ่อยหนักจนเกิน เกิดอาการขัดใจสุดๆ 555...
ห๊า พระเอกไปเป็นหนี้พวกหล่อนตรงไหน พวกตัวเองชอบเย่เฉินเอง เย่เฉินไม่ได้บังคับ แล้วจะให้พระเอกคืนความรักให้พวกเอ็งเนี่ยน่ะ ส่วนพระเอกกุเห้นมึงก้ปวดใจกับผู้หญิงทุกคนแหละ -.-"...
อ๋อ พึ่งรู้ว่าพระเอกไปช่วยใคร ก้คิดว่าพระเอกชอบคนนั้น ในใจมีเขาอยู่ จะหลุดกับความคิดเฟ่ยเข้อสินถึงๆด้บอกเรื่องนี้มีแต่พวกหลงตัวเอง มีแค่ชูหรันกับซิวอี้นี่แหละความรักผญ.ดี ๆม่หลงตัวเองขนาดนั้น ขอโทษด้วยครับพอดีอินไปหน่อย...
ผู้หญิงเรื่องนี้หลงตัวเองโครต เป้นเพราะชูกันเถอะ พระเอกถึงได้มีแรงผลักนั้น ไม่ใช่นานาโกะ มโนเก่งเนาะ อีเฟ่ย...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โง่ทั้งพระเอกทั้งหลิวม่านฉง ทำตัวเป้นเมียพระเอกสะงั้น จนต้องเลื่อนผ่านขก.อ่าน ขัดใจ พระเอกแม่งก้จะแคร์ผู้หญิงทั้งโลกเลยรึไง...
ไอหลิวท่านฉง ก้มั่นหน้าเกินน่ะ คิดว่าพระเอกจะชอบมึงรึไง เล่นตัว จะหลุด...
ตระกูลเฟ่ยแม่งก้น่าขยะแขยงกันทุกตัวแหละ มีแค่เฟ่ยเข่อขิน เป้นตระกุลเดียวที่ไม่อยากให้เย่เฉนร่วมมือด้วยเลยจริงๆ เฟ่ยเจี้ยนจงแม่งก้ไม่ใช่คนดีไรนักหรอก ปากก้เอาเครื่องสวรรค์มาอ้าง สุดท้ายก้อยากจะไว้ชีวิตหลานตัวเอง น่าขยะแขยง...