เย่เฉินไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เหตุไฉนหญิงสาวที่ดูบอบบางไร้เดียงสาอย่างหลินหว่านเอ๋อร์ จะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวได้ถึงเพียงนี้
และเธอก็รู้ตัวดีว่าตนเองนั้น ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของอู๋เฟยเยี่ยน เเละเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอู๋เฟยเยี่ยนแบบตัวต่อตัว ทั้งสองก็คงจะต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งอย่างเเน่นอน
จะอย่างไรก็เเล้วเเต่ ก่อนหน้านี้ หยุนหรูเกอเคยบอกต่อหน้าพวกเขาทั้งคู่ว่า อู๋เฟยเยี่ยนได้เปิดจุดหนีว๋านไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พลังอานุภาพของเธอเมื่อร้อยกว่าปีก่อนนั้น มีความแข็งแกร่งกว่าเย่เฉินในตอนนี้มากโขเลยทีเดียว
แต่ถึงกระนั้น หลินหว่านเอ๋อร์ก็ยังอยากจะลองเสี่ยงดู
ที่เเน่ๆ หากคิดจะทำเรื่องนี้อย่างหุนหันพลันแล่นเกินไปจนเสียการควบคุมเเล้วล่ะก็ มันอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ดังนั้น เขาจึงพูดด้วยท่าทางจริงจังเคร่งขรึมว่า " เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าอู๋เฟยเยี่ยน ความเป็นไปได้ที่พวกเราสองคนจะหลบหลีกซ่อนเร้นจากเธอนั้นแทบไม่มีเลย คุณแน่ใจหรือว่าต้องการที่จะเสี่ยงกับที่นี่จริงๆ น่ะ ? "
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้าด้วยท่าทางสงบนิ่ง พลางมองไปที่เย่เฉิน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเเน่วแน่ " ตลอดเวลาสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ฉันต้องคอยหลบเลี่ยงเธอมาโดยตลอด เเละยังต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ซ้ำยังต้องคอยระเเวดระวังในทุกๆ สถานที่เพื่อไม่ให้เธอพบเจอฉัน ฉันเเทบไม่เคยย่างกรายไปยังสถานที่ซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเธอ ทว่าในตอนนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธออาจจะมาที่นี่ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทำไมจู่ๆ ฉันก็รู้สึกอยากจะลองเสี่ยงดูสักตั้ง ! "
เย่เฉินตกตะลึงจนอ้าปากค้างดวงตาเบิกโพลง และถึงกับกลั้นคำพูดเอาไว้ไม่อยู่ " ช่วงเวลาแห่งความดื้อรั้นของคุณ เหมือนจะมาช้าไปสักหน่อยนะ ? "
หลินหว่านเอ๋อร์ทำท่าแลบลิ้นพลางกล่าวว่า " ก็อาจเป็นไปได้ ไม่ว่ายังไงก็เเล้วเเต่ ในที่สุดฉันก็เข้าใจเเล้วว่า ทำไมพวกที่ชื่นชอบกีฬาผาดโผนพวกนั้น ถึงต้องปีนตึกสูงระฟ้าด้วยมือเปล่า ทั้งที่พวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าในระหว่างที่ปีนอยู่นั้น หากเกิดความประมาทเพียงน้อยนิด ก็อาจทำให้ร่างของพวกเขาถูกบดขยี้จนสลายกลายเป็นเศษซากได้ในชั่วพริบตา แต่พวกเขาก็ยังพยายามที่จะลองทำ นั่นก็เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ความตื่นเต้นสะใจในการผจญภัย และเพื่อความรู้สึกของการเป็นผู้พิชิตหลังจากได้รับความสำเร็จมาครอบครอง "
หลังจากที่หยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง หลินหว่านเอ๋อร์จึงพูดโพล่งขึ้นอีกครั้ง " เมื่อคนอื่นๆ ได้เห็นตึกสูงเสียดฟ้า ก็มักจะต้องแหงนหน้าขึ้นไปมอง พร้อมด้วยเสียงร้องอุทานเเละคำชื่นชมสรรเสริญ ทว่า หากเป็นพวกเขาที่ได้เห็นตึกสูงเสียดฟ้านั้น ในใจคงคิดเเต่เพียงว่า ครั้งหนึ่งฉันเคยพิชิตมันด้วยมือเปล่าๆ โดยไม่ได้พึ่งพาอาศัยการช่วยเหลือสนับสนุนจากภายนอกและการป้องกันใดๆ สันนิษฐานได้ว่าความรู้สึกแห่งความสำเร็จนั้น คงทำให้พวกเขามีความสุขไปได้อีกนานเลยเชียวล่ะ ! "
หลังจากที่เย่เฉินครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้น " ผมอยากแนะนำคุณว่า พยายามใช้สติเเละเหตุผลให้มากๆ เพราะถ้าหากการตัดสินใจนี้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา คงไม่มีโอกาสได้แก้ไขความผิดพลาดอีกเเล้ว "
หลินหว่านเอ๋อร์ก้มศีรษะพลางเม้มริมฝีปากของเธอ จากนั้น จึงเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยท่าทางที่ดูจะตื่นเต้นเล็กน้อย " ฉันก็ประเมินตัวเองได้ว่า ชั่วชีวิตนี้ ฉันคงไม่มีความสามารถที่มากพอจะฆ่าอู๋เฟยเยี่ยนได้ เเค่ไม่ถูกเธอฆ่าตาย ก็ถือเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวงของฉันแล้วล่ะ... "
" เเละเเม้ว่าฉันจะไม่มีปัญญาฆ่าเธอได้ แต่อย่างน้อยๆ วันนี้ฉันก็มีโอกาสที่จะปรามาสเธอ ว่าคนอย่างฉันก็จัดการเธอได้ ! "
" อู๋เฟยเยี่ยนก็คิดฝันอยู่เสมอมา ว่าจะจับตัวฉันให้ได้ไม่ใช่หรอกหรือ ? ถ้าอย่างนั้นเธอก็อาจจะไม่นึกไม่ฝันว่า ในช่วงเวลาหนึ่ง ฉันก็ได้มายืนอยู่ใต้จมูกเธอนี่เอง ! "
" ถ้าครั้งนี้ฉันทำสำเร็จล่ะก็ เกมแมววิ่งไล่จับหนูระหว่างฉันกับอู๋เฟยเยี่ยนในชั่วชีวิตนี้ ก็จะถือว่าฉันสามารถเอาชนะเธอได้ก่อนครั้งหนึ่ง ! "
" เเละเมื่อจวบจนถึงวาระสุดท้ายของเธอ ถ้าหากเธอยังจับตัวฉันไม่ได้ ฉันก็จะกลายเป็นผู้ชนะไปในที่สุด ! "
" ตราบใดที่ฉันเอาชนะเธอได้ในครั้งนี้ วันใดวันหนึ่งในภายภาคหน้า ฉันจะต้องทำให้เธอได้รู้ว่า คนอย่างหลินหว่านเอ๋อร์ ไม่ใช่คนที่อู๋เฟยเยี่ยนจะวิ่งตามไล่ล่าได้ง่ายๆ ! "
" เมื่อวันนั้นมาถึง ฉันจะบอกให้เธอรู้ว่า คนอย่างหลินหว่านเอ๋อร์ ถึงแม้ความสามารถจะอ่อนด้อยไร้กำลัง ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะผูกไก่ก็เถอะ แต่ฉันก็กล้าที่จะหัวเราะต่อหน้าคนอย่างอู๋เฟยเยี่ยนอย่างสนุกสนานครื้นเครง ! "
หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เเววตาของเธอส่องประกายสดใสเเละเปี่ยมด้วยความจริงใจ จากนั้นจึงพูดว่า " เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันใจอย่างที่สุดแล้วล่ะค่ะ เพียงแต่ว่า ชีวิตของข้าน้อยกับคุณชายนั้นช่างเเตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ข้าน้อยไม่มีที่พึ่งให้คอยพักพิง ไร้ญาติขาดมิตร หากจะว่าไปแล้ว ความตายไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวสำหรับข้าน้อยเลยสักนิด ในทางตรงกันข้าม ข้าน้อยกลับคิดว่า ความตายก็เปรียบเสมือนการหลุดพ้น เพราะฉะนั้น ข้าน้อยจึงอยากอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ไม่อยากให้คุณชายต้องมาตกกระไดพลอยโจนไปด้วย "
เย่เฉินโบกไม้โบกมือเป็นระวิง " ผมยังไม่เกลี้ยกล่อมคุณไม่ได้ เเล้วคุณคิดว่าตัวเองจะเกลี้ยกล่อมผมได้อย่างนั้นรึ ? "
หลินหว่านเอ๋อร์ยังคงยืนกรานอย่างหนักแน่น " แต่นี่มันเป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างข้าน้อยกับอู๋เฟยเยี่ยนนะคะ "
เย่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ " ผมเองก็มีความเเค้นกับเธอเช่นกัน แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าพ่อแม่ของผม แต่ในฐานะจอมบงการผู้อยู่เบื้องหลัง เธอก็คือศัตรูตัวฉกาจที่สุดของผมด้วยเหมือนกัน "
หลินหว่านเอ๋อร์รีบพูดด้วยความร้อนรน " ถ้าอย่างนั้น ในวันนี้ ข้าน้อยขออยู่ที่นี่เพื่อตบหน้าอู๋เฟยเยี่ยน ส่วนคุณชายก็ค่อยหาโอกาสเอาชีวิตของอู๋เฟยเยี่ยน พวกเราสองคนแบ่งหน้าที่กันแบบนี้ดีไหมคะ ? "
เย่เฉินส่ายหน้าพลางมองไปที่หลินหว่านเอ๋อร์ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง " เอาแบบดีกว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอู๋เฟยเยี่ยน คุณกับผมจะร่วมกันคิดร่วมกันทำ วันนี้ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเพื่อที่จะตบหน้าเธอสักหนึ่งฉาด แล้วในวันหน้าคุณค่อยช่วยผมหาทางเอาชีวิตเธอให้ได้ คุณคิดว่าแบบนี้ดีไหมล่ะ ? "
หลินหว่านเอ๋อร์ได้เเต่ยืนมองเย่เฉินตาปริบๆ โดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ภาพของเย่เฉินที่ส่องสะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอนั้น ค่อยๆ พร่าเบลอลงไปเรื่อยๆ น้ำตาค่อยๆ ซึมปริ่มออกมาคลอที่เบ้าตาของเธอ
เธอพยายามกลั้นน้ำตาเหล่านั้นเอาไว้ พร้อมกับยิ้มด้วยความอ่อนโยน จากนั้นจึงพูดว่า " ขอบคุณคุณชายที่ให้ความเมตตากรุณา นับเเต่นี้เป็นต้นไป ข้าน้อยขอยืนหยัดเคียงข้างเเละร่วมสุขร่วมทุกข์กับคุณชายตลอดไป ! "

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
หม่าหลันมันไม่ได้ไร้เดียงสาต่อโลกหรอก แต่เขียนให้ถูกคือหม่าหลันมันโง่นั้นเอง เข้ามหาลัยมีชื่อเสียงได้ไง โง่ดักดานขนาดนี้ อาจารย์ที่เขียน ก้เขียนให้อีหม่าหลันดูดีเกิ้น 555...
เอาตรงๆน่ะ ผมชอบที่พระเอกมีสาวมาติด แบบเป็นปกติ หลงรักพระเอกโงหัวไม่ขึ้นผมไม่ขัดใจหรอก มาขัดใจตอนคือแบบผญ เรื่องนี้มีนลุกหนักเกินไป จนทำใจอ่านแล้วขัดใจ ถ้าลุกพอประมาณแบบนี้คืออ่านสนุกเว่อร์ แต่นี่อ่อยหนักจนเกิน เกิดอาการขัดใจสุดๆ 555...
ห๊า พระเอกไปเป็นหนี้พวกหล่อนตรงไหน พวกตัวเองชอบเย่เฉินเอง เย่เฉินไม่ได้บังคับ แล้วจะให้พระเอกคืนความรักให้พวกเอ็งเนี่ยน่ะ ส่วนพระเอกกุเห้นมึงก้ปวดใจกับผู้หญิงทุกคนแหละ -.-"...
อ๋อ พึ่งรู้ว่าพระเอกไปช่วยใคร ก้คิดว่าพระเอกชอบคนนั้น ในใจมีเขาอยู่ จะหลุดกับความคิดเฟ่ยเข้อสินถึงๆด้บอกเรื่องนี้มีแต่พวกหลงตัวเอง มีแค่ชูหรันกับซิวอี้นี่แหละความรักผญ.ดี ๆม่หลงตัวเองขนาดนั้น ขอโทษด้วยครับพอดีอินไปหน่อย...
ผู้หญิงเรื่องนี้หลงตัวเองโครต เป้นเพราะชูกันเถอะ พระเอกถึงได้มีแรงผลักนั้น ไม่ใช่นานาโกะ มโนเก่งเนาะ อีเฟ่ย...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โง่ทั้งพระเอกทั้งหลิวม่านฉง ทำตัวเป้นเมียพระเอกสะงั้น จนต้องเลื่อนผ่านขก.อ่าน ขัดใจ พระเอกแม่งก้จะแคร์ผู้หญิงทั้งโลกเลยรึไง...
ไอหลิวท่านฉง ก้มั่นหน้าเกินน่ะ คิดว่าพระเอกจะชอบมึงรึไง เล่นตัว จะหลุด...
ตระกูลเฟ่ยแม่งก้น่าขยะแขยงกันทุกตัวแหละ มีแค่เฟ่ยเข่อขิน เป้นตระกุลเดียวที่ไม่อยากให้เย่เฉนร่วมมือด้วยเลยจริงๆ เฟ่ยเจี้ยนจงแม่งก้ไม่ใช่คนดีไรนักหรอก ปากก้เอาเครื่องสวรรค์มาอ้าง สุดท้ายก้อยากจะไว้ชีวิตหลานตัวเอง น่าขยะแขยง...