เย่เฉินไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า การที่ตนได้มาตั้งแคมป์อยู่บนภูเขาในเตียนหนาน จะทำให้เขาได้พบกับผู้ป่วยมะเร็งทั้งสองคนซึ่งอายุยังน้อยอยู่ด้วย
เเละยิ่งคาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนนั้น ต่างก็ต้องการไปที่จินหลิงเพื่อเข้าร่วมการวิจัยทดลองทางคลินิกของบริษัทผลิตยาเก้าเสวียน เเต่พวกเขาทั้งคู่ก็ถูกปัดตกจากการได้รับโควต้า
เเต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดก็คือ ชายหนุ่มที่ชื่อว่าหูเล่อฉีคนนี้ ดันรู้จักกับเจมส์ สมิธไปเสียได้
ทุกคนต่างก็ต้องประหลาดใจที่ได้ยินว่า คนที่เคยเป็นผู้รับผิดชอบดูแลองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาFDA ได้สมัครใจลาออกจากตำแหน่งของเขาและไปทำงานการกุศลที่จินหลิง นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนเมื่อใครได้ฟังเเล้วก็ต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
เย่เฉินแสร้งทำเป็นถามหูเล่อฉีด้วยความอยากรู้อยากเห็น " เหล่าหู คุณสนิทสนมคุ้นเคยกับคุณเจมส์ สมิธคนนั้นมากเลยเหรอ ? "
หูเล่อฉีตอบด้วยท่าทางสบายๆ " ก็ไม่ถึงกับสนิทสนมหรอก ตอนที่เขายังไม่ลาออก เขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา คนที่เข้ามาติดต่อธุรกรรมกับ FAD ก็ล้วนเเต่เป็นกลุ่มบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์และกลุ่มผู้ประกอบการชั้นนำของโลกทั้งนั้น คนอย่างเจมส์ สมิธ เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความโดดเด่นในเเวดวงสังคมชั้นสูงเป็นอย่างมาก คนธรรมดาสามัญอย่างผม จะมีโอกาสไปรู้จักคนระดับนั้นได้อย่างไรกันล่ะ "
หูเล่อฉีกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า " อันที่จริง ผมได้รู้จักเขาก็ตอนที่ไปลงทะเบียนเข้าร่วมงานวิจัยทดลองที่บริษัทผลิตยาเก้าเสวียนนั่นแหละ ตอนนั้นเขาพาลูกไปสมัครลงทะเบียนที่นั่นพอดี ในแวบแรกที่เห็นก็ไม่มีอะไรที่พิเศษผิดแปลกไปจากปกติ คนรอบข้างก็ดูเหมือนจะไม่มีใครจำเขาได้เลย ที่ผมจำเขาได้ก็เพราะว่าที่สหรัฐอเมริกา ผมเรียนด้านสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพน่ะ เด็กที่เรียนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาเทคโนโลยีพันธุศาสตร์ รวมถึงสาขาเคมีและเภสัชกรรมทั่วอเมริกา ไม่น่าจะมีใครที่ไม่รู้จักเขา อย่างน้อยๆ เขาก็เคยเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพของพวกเรา "
เย่เฉินรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงถามต่อไปอีกว่า " สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพที่คุณเรียน มุ่งเน้นไปทางด้านไหนเหรอ ? ใช่ด้านการวิจัยและพัฒนาชีวเภสัชภัณฑ์รึเปล่า ? "
" ถูกต้อง " หูเล่อฉีผงกศีรษะงึกๆ พลางกล่าวว่า " วิชาเอกของผมคือสาขาชีวเคมี หลังจากเรียนจบ ผมวางแผนไว้ว่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทยาและเวชภัณฑ์ เเละมีส่วนร่วมในการพัฒนายาเคมีบำบัดรุ่นใหม่ๆ เเต่ผลสุดท้าย ยังไม่ทันจะได้คิดค้นพัฒนายาตัวใหม่ๆ ออกมา ตัวเองดันกลายมาเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเสียก่อน "
ขณะที่พูดอยู่นั้น หูเล่อฉีพลันถอนหายใจออกมาเบาๆ เเต่เขายังคงยิ้มได้ " นี่สินะที่เขากล่าวกันว่า วีรบุรุษออกศึกยังไม่ทันคว้าชัย ตัวดันมาตายเสียก่อน อยากออกไปฆ่าศัตรูและรับใช้ชาติอย่างห้าวหาญ สุดท้ายกลับมาตายก่อนจะได้ใส่ชุดทหารเสียอีก "
ซูหลานที่อยู่ข้างๆ เผยอยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้น " ทุกคนต่างก็มีชะตากรรมของตัวเอง เช่นเดียวกันกับพวกเราที่มาท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ฉะนั้น การได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อนจะกลับไป ย่อมสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง "
หูเล่อฉียิ้มแหยๆ ด้วยความเขินอาย " น่าจะประมาณนั้นแหละ แต่น่าเสียดายที่ไม่ทันได้เตรียมแหวนหมั้นมาด้วย "
จากนั้น เขาก็หันไปมองใบหน้าของซูหลานอีกครั้ง และเอ่ยถามเธอด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้ง " ซูหลาน คุณยินดีแต่งงานกับผมไหม ? "
เมื่อซูหลานกลับมามีสติสัมปชัญญะ เธอจึงเม้มริมฝีปากแล้วตอบกลับไป " เวลาก็คงเหลืออีกไม่มากเเล้ว คุณอยากแต่งงานจริงๆ น่ะเหรอ ? การแต่งงานเป็นเรื่องที่ลำบากวุ่นวายมาก ไหนจะต้องไปพบพ่อแม่ เลือกชุดแต่งงาน จองโรงแรม เเล้วก็ต้องเตรียมงานแต่งงานอีก แทนที่เราจะไปเสียเวลามากมายกับสิ่งเหล่านั้น สู้เราอยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่ายไม่ดีกว่าเหรอ แบบนี้เราสองคนก็จะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นอีกด้วย จริงไหมล่ะ ? "
หูเล่อฉีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็มองไปที่ซูหลาน พร้อมกับกล่าวด้วยท่าทางที่จริงจังมากขึ้นกว่าเดิม " ก่อนผมจะตาย ผมอยากจะสัมผัสประสบการณ์ที่ผมยังไม่เคยได้พบเจอมาก่อน ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะพาคุณไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาด้วยกัน... "
ซูหลานส่งยิ้มหวานให้เขา พลางตอบกลับว่า " หลังจากทริปเดินป่าในครั้งนี้ พวกเราทั้งคู่ก็ต้องเเยกย้ายกันไปทำคีโมเเล้ว เมื่อใดก็ตามที่เราได้เริ่มทำเคมีบำบัด ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะถดถอยลงไปอย่างมาก เมื่อถึงเวลานั้น คุณอาจไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้อีกแล้ว อีกอย่าง คุณเองก็ต้องกลับไปรักษาตัวที่อเมริกา ส่วนฉันก็ต้องไปเข้ารับการรักษาที่เย่นจิง ถ้าหากต้องไปเตรียมจัดงานแต่งงานด้วยล่ะก็ เกรงว่าอาจจะทำให้การรักษาล่าช้าออกไปอีกได้ "

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
หม่าหลันมันไม่ได้ไร้เดียงสาต่อโลกหรอก แต่เขียนให้ถูกคือหม่าหลันมันโง่นั้นเอง เข้ามหาลัยมีชื่อเสียงได้ไง โง่ดักดานขนาดนี้ อาจารย์ที่เขียน ก้เขียนให้อีหม่าหลันดูดีเกิ้น 555...
เอาตรงๆน่ะ ผมชอบที่พระเอกมีสาวมาติด แบบเป็นปกติ หลงรักพระเอกโงหัวไม่ขึ้นผมไม่ขัดใจหรอก มาขัดใจตอนคือแบบผญ เรื่องนี้มีนลุกหนักเกินไป จนทำใจอ่านแล้วขัดใจ ถ้าลุกพอประมาณแบบนี้คืออ่านสนุกเว่อร์ แต่นี่อ่อยหนักจนเกิน เกิดอาการขัดใจสุดๆ 555...
ห๊า พระเอกไปเป็นหนี้พวกหล่อนตรงไหน พวกตัวเองชอบเย่เฉินเอง เย่เฉินไม่ได้บังคับ แล้วจะให้พระเอกคืนความรักให้พวกเอ็งเนี่ยน่ะ ส่วนพระเอกกุเห้นมึงก้ปวดใจกับผู้หญิงทุกคนแหละ -.-"...
อ๋อ พึ่งรู้ว่าพระเอกไปช่วยใคร ก้คิดว่าพระเอกชอบคนนั้น ในใจมีเขาอยู่ จะหลุดกับความคิดเฟ่ยเข้อสินถึงๆด้บอกเรื่องนี้มีแต่พวกหลงตัวเอง มีแค่ชูหรันกับซิวอี้นี่แหละความรักผญ.ดี ๆม่หลงตัวเองขนาดนั้น ขอโทษด้วยครับพอดีอินไปหน่อย...
ผู้หญิงเรื่องนี้หลงตัวเองโครต เป้นเพราะชูกันเถอะ พระเอกถึงได้มีแรงผลักนั้น ไม่ใช่นานาโกะ มโนเก่งเนาะ อีเฟ่ย...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โง่ทั้งพระเอกทั้งหลิวม่านฉง ทำตัวเป้นเมียพระเอกสะงั้น จนต้องเลื่อนผ่านขก.อ่าน ขัดใจ พระเอกแม่งก้จะแคร์ผู้หญิงทั้งโลกเลยรึไง...
ไอหลิวท่านฉง ก้มั่นหน้าเกินน่ะ คิดว่าพระเอกจะชอบมึงรึไง เล่นตัว จะหลุด...
ตระกูลเฟ่ยแม่งก้น่าขยะแขยงกันทุกตัวแหละ มีแค่เฟ่ยเข่อขิน เป้นตระกุลเดียวที่ไม่อยากให้เย่เฉนร่วมมือด้วยเลยจริงๆ เฟ่ยเจี้ยนจงแม่งก้ไม่ใช่คนดีไรนักหรอก ปากก้เอาเครื่องสวรรค์มาอ้าง สุดท้ายก้อยากจะไว้ชีวิตหลานตัวเอง น่าขยะแขยง...