ในไม่ช้า เมื่อถึงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า พวกเขาก็ได้ก่อแคมป์ไฟเเละก่อเตาไฟสำหรับปิ้งย่างจนเสร็จเรียบร้อยพอดี
ด้วยอาหารการกินที่ทุกคนได้เตรียมกันมา รวมกับอาหารที่เย่เฉินตั้งใจซื้อมาสมทบเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้อาหารเย็นในมื้อนี้มีความอุดมสมบูรณ์มากเป็นพิเศษ
นอกจากนั้น เย่เฉินยังซื้อเหล้าเเละเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกรดพรีเมี่ยมมาอีกเพียบ ทำให้บรรยากาศยิ่งมีสีสันเเละทวีความครึกครื้นรื่นเริงให้มากยิ่งขึ้นไปอีก เเละดูเหมือนทุกคนต่างก็ตัดสินใจว่าคืนนี้จะต้องดื่มให้หนำใจ เมากันให้เต็มคราบไปเลย
ซึ่งเย่เฉินก็ได้ผสมปราณทิพย์ปริมาณเล็กน้อย ลงไปในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนั้นด้วย
ปราณทิพย์เหล่านี้ ไม่สามารถทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งแรง หรือเข้าไปมีส่วนช่วยรักษาโรคภัยใดๆ ของพวกเขา แต่รับประกันได้เลยว่า ต่อให้คืนนี้พวกเขาจะดื่มเข้าไปมากมายเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อปราณทิพย์ที่แผ่พลังงานออกมาเพียงอ่อนๆ ถูกร่างกายของพวกเขาดูดซับเข้าไป มันจะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ เเละต่อให้อู๋เฟยเยี่ยนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางที่เธอจะสังเกตเห็นอย่างเเน่นอน
เนื่องด้วยเตียนหนานตั้งอยู่บนที่ราบสูง ดังนั้น อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนจึงมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ประกอบกับความสูงของภูเขาหลังเต่า ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลหลายร้อยเมตรเป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว จึงเพิ่มระดับความสูงให้มากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น หลังจากที่ฟ้ามืดลงแล้ว อุณหภูมิของที่นี่จึงลดลงอย่างรวดเร็วจนทำให้รู้สึกหนาวเย็นในเวลากลางคืน
ทุกคนจึงมานั่งล้อมวงกันรอบกองไฟ เพื่อรับไออุ่นของเปลวไฟและสุราเมรัยเกรดพรีเมี่ยม จากนั้นหูเล่อฉีจึงหยิบกีตาร์ขึ้นมาดีดบรรเลง คนหนุ่มสาวที่ชอบร้องรำทำเพลงก็พากันร้องเพลงฮิตกับเขาไปหลายต่อหลายเพลง ความรู้สึกสนุกสนานครื้นเครงพลันลุกโชนสว่างไสวราวกับเปลวไฟที่อยู่เบื้องหน้า บรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง
หลินหว่านเอ๋อร์ก็ชอบความรู้สึกแบบนี้มากเช่นกัน จนเหมือนกับว่าเธอได้ถูกหลอมรวมเข้าไปกับบรรยากาศนั้นโดยง่ายดาย ทั้งยังรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มคนหนึ่งพลันยกแก้วขึ้น ทำท่าเตรียมจะชนแก้วกับคนอื่นๆ พลางพูดขึ้นว่า " โอ้เเม่เจ้า เหล้าที่พวกเราดื่มกันคืนนี้มันโคตรสุดยอดเลย ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา ตามปกติแล้วถ้าฉันดื่มเข้าไปมากขนาดนี้นะ ป่านนี้ได้เมาปลิ้นไปตั้งแต่หัววันแล้ว แต่ทำไมวันนี้ยิ่งดื่มยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าก็ไม่รู้ ! "
" ฉันก็เหมือนกัน ! " อีกคนก็พูดโพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มเเย้มเช่นกัน " ถึงเเม้จะรู้สึกเวียนหัวอยู่นิดหน่อย เเต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าเมาสักนิด มันยังสบายๆ อยู่เลยเนี่ย ! "
ในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาก็หันไปมองที่เย่เฉินเเละเอ่ยขึ้นว่า " อะเฉิน เหล้าที่คุณซื้อมา รสชาติมันก็เหมือนกับเหล้าที่ผมดื่มเป็นประจำ แต่เหมือนความรู้สึกมันดูจะแตกต่างออกไป นี่คุณซื้อเหล้าวินเทจมารึเปล่าเนี่ย ? "
เย่เฉินหัวเราะพลางตอบกลับไปว่า " ที่รู้สึกแตกต่างนั้น ก็เป็นเพราะบรรยากาศยังไงล่ะ หากจะว่ากันด้วยเรื่องการดื่มเหล้าแล้ว บรรยากาศยิ่งสนุกครื้นเครง ความสามารถในการดื่มเหล้าก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย "
หูเล่อฉีกล่าวอย่างเห็นพ้องต้องกัน " อะเฉินพูดถูก การดื่มเหล้าเเล้วจะเมาหรือไม่เมานั้น ประกอบด้วยสามปัจจัยหลักๆ อันดับแรกคือความทนทานต่อฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกายของแต่ละคน อันดับที่สองคือปริมาณแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกายของคนๆ นั้น และอันดับสุดท้ายก็คือความสามารถในการย่อยสลายแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในร่างกาย "
เเล้วหูเล่อฉีก็กล่าวเสริมอีกว่า " ถ้าหากความสามารถในการดื่มเหล้าขาวบนโต๊ะอาหารของนาย มีปริมาณเหล้าสูงสุดที่ดื่มได้อยู่ที่ 500 ml ฉะนั้น เวลาที่ดื่มเหล้าเพื่อเเก้เซ็งยามที่นายอยู่คนเดียว จะต้องดื่มได้ไม่ถึงปริมาณนั้นอย่างเเน่นอน นั่นก็เพราะว่า การดื่มเหล้าที่โต๊ะอาหารจะมีการพูดคุยไปด้วยในระหว่างที่นายกำลังดื่ม การเผาผลาญพลังงานเเละของเหลวในร่างกายก็จะมากขึ้นตามไปด้วย เเละการย่อยสลายแอลกอฮอล์ภายในร่างกายก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เรารู้สึกตื่นเต้นคึกคักมากกว่าปกติ ก็มีส่วนทำให้เกิดการระเหยของแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน "
ชายหนุ่มคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงฉีกยิ้มและพูดว่า " มีเหตุผล ! วันนี้ฉันมีความสุขจริงๆ ยิ่งมีความสุข ฉันก็ยิ่งอยากดื่มอีกเยอะๆ ! "
ในเวลานั้นเอง เย่เฉินพลันเอ่ยขึ้น " ทุกท่าน ในเมื่อทุกคนดูจะมีความสุขกันถ้วนหน้า ถ้าอย่างนั้น คืนนี้พวกเรามาอยู่โต้รุ่งกันเลยดีไหม หลังจากได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเราค่อยไปหลับไปนอนกันให้เต็มอิ่ม "
เเละด้วยความกังวลว่าจะถูกอู๋เฟยเยี่ยนมาพบเจอเข้า ตั้งเเต่ตอนที่ดื่มสังสรรค์กันเมื่อคืนนี้ เย่เฉินจึงใช้วิชาคาถาที่หยุนหรูเกอสอนเขา เดินลมปราณกำลังภายในเเละล็อคปราณทิพย์ให้อยู่เเค่ในร่างกายของเขาไว้อย่างเเน่นหนา
สำหรับนักบำเพ็ญเพียรเเล้ว ทุกคนต่างก็เปรียบเสมือนเรือดำน้ำที่ลอยลำอยู่ในทะเลลึก ซึ่งต่างฝ่ายต่างหากันเจอด้วยการใช้คลื่นสัญญาณโซนาร์ในการตรวจจับสัญญาณของอีกฝ่าย
หากยืมคำมาเปรียบเปรยก็คงจะเปรียบได้ว่า นักบำเพ็ญเพียรขั้นสูงก็เปรียบเสมือนเรือดำน้ำประสิทธิภาพสูง ที่มีความก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงอันล้ำสมัย ไม่เพียงเเต่มีศักยภาพในการยิงขีปนาวุธโจมตีเป้าหมายสูง เเละมีพลังอานุภาพในการโจมตีที่แข็งแกร่งทรงพลังเพียงเท่านั้น วิธีการตรวจจับเรือดำน้ำลำอื่นๆ ก็มีประสิทธิภาพก้าวหน้ามากด้วยเช่นกัน อีกทั้งระยะการตรวจจับสัญญาณก็ไกลขึ้นด้วย
ส่วนนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในระดับต่ำ ก็เปรียบเสมือนเรือดำน้ำที่เก่าเก็บและล้าหลัง ศักยภาพในการยิงขีปนาวุธโจมตีเป้าหมายต่ำ พลังอานุภาพในการทำลายล้างต่ำ และความสามารถในการตรวจจับคลื่นสัญญาณโซนาร์ก็ต่ำด้วยเช่นกัน ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะถูกสังหารโดยตอร์ปิโดจากฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่จะรู้ว่าตำแหน่งของฝ่ายตรงข้ามอยู่ตรงไหนเสียอีก
พวกนักบำเพ็ญเพียรต่างก็มีสัมผัสรับรู้ซึ่งกันและกัน มันก็คล้ายกับโซนาร์แบบพาสซีฟ ซึ่งเป็นโซนาร์สำหรับการดักรับสัญญาณเสียงใต้น้ำในย่านความถี่ต่ำ ที่ใช้เพื่อระบุตำแหน่งและที่มาของเสียง เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกัน มันก็จะแจ้งเตือนพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็จะตื่นตัวและเข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อมรบในทันที
อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ในระดับต่ำทุกคน จะไม่สามารถหนีรอดจากความตายเมื่ออยู่ต่อหน้านักบำเพ็ญเพียรขั้นสูงได้
เรือดำน้ำรุ่นเก่าเก็บ หากระมัดระวังเเละรอบคอบมากเพียงพอ ก็สามารถหลบเลี่ยงจากเรือดำน้ำสมรรถนะสูงได้เช่นกัน หนึ่งในวิธีที่ใช้กันบ่อยที่สุดก็คือ การจอดนิ่งลอยลำอยู่ก้นมหาสมุทรด้วยความนิ่งสงบ
เมื่อเรือดำน้ำเข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณทั้งหมดจะหยุดการทำงาน ทุกคนบนเรือจะไม่มีการเคลื่อนไหวและไม่มีการส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเรือดำน้ำสมรรถนะสูงอาศัยการใช้โซนาร์แบบพาสซีฟแต่เพียงอย่างเดียว จะเป็นไปได้ยากมากที่จะสามารถค้นพบเป้าหมายนั้นได้

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
หม่าหลันมันไม่ได้ไร้เดียงสาต่อโลกหรอก แต่เขียนให้ถูกคือหม่าหลันมันโง่นั้นเอง เข้ามหาลัยมีชื่อเสียงได้ไง โง่ดักดานขนาดนี้ อาจารย์ที่เขียน ก้เขียนให้อีหม่าหลันดูดีเกิ้น 555...
เอาตรงๆน่ะ ผมชอบที่พระเอกมีสาวมาติด แบบเป็นปกติ หลงรักพระเอกโงหัวไม่ขึ้นผมไม่ขัดใจหรอก มาขัดใจตอนคือแบบผญ เรื่องนี้มีนลุกหนักเกินไป จนทำใจอ่านแล้วขัดใจ ถ้าลุกพอประมาณแบบนี้คืออ่านสนุกเว่อร์ แต่นี่อ่อยหนักจนเกิน เกิดอาการขัดใจสุดๆ 555...
ห๊า พระเอกไปเป็นหนี้พวกหล่อนตรงไหน พวกตัวเองชอบเย่เฉินเอง เย่เฉินไม่ได้บังคับ แล้วจะให้พระเอกคืนความรักให้พวกเอ็งเนี่ยน่ะ ส่วนพระเอกกุเห้นมึงก้ปวดใจกับผู้หญิงทุกคนแหละ -.-"...
อ๋อ พึ่งรู้ว่าพระเอกไปช่วยใคร ก้คิดว่าพระเอกชอบคนนั้น ในใจมีเขาอยู่ จะหลุดกับความคิดเฟ่ยเข้อสินถึงๆด้บอกเรื่องนี้มีแต่พวกหลงตัวเอง มีแค่ชูหรันกับซิวอี้นี่แหละความรักผญ.ดี ๆม่หลงตัวเองขนาดนั้น ขอโทษด้วยครับพอดีอินไปหน่อย...
ผู้หญิงเรื่องนี้หลงตัวเองโครต เป้นเพราะชูกันเถอะ พระเอกถึงได้มีแรงผลักนั้น ไม่ใช่นานาโกะ มโนเก่งเนาะ อีเฟ่ย...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โครตน่าหงุดหงิด จะร้องเชี่ยไรนักหนา ร้องทั้งตอน ผญ.อยู่ข้างเย่เฉินนิสัยผญ.หมด แต่ไอนี้แม่งปัญญาอ่อน ไอหลิวม่านฉิง...
โง่ทั้งพระเอกทั้งหลิวม่านฉง ทำตัวเป้นเมียพระเอกสะงั้น จนต้องเลื่อนผ่านขก.อ่าน ขัดใจ พระเอกแม่งก้จะแคร์ผู้หญิงทั้งโลกเลยรึไง...
ไอหลิวท่านฉง ก้มั่นหน้าเกินน่ะ คิดว่าพระเอกจะชอบมึงรึไง เล่นตัว จะหลุด...
ตระกูลเฟ่ยแม่งก้น่าขยะแขยงกันทุกตัวแหละ มีแค่เฟ่ยเข่อขิน เป้นตระกุลเดียวที่ไม่อยากให้เย่เฉนร่วมมือด้วยเลยจริงๆ เฟ่ยเจี้ยนจงแม่งก้ไม่ใช่คนดีไรนักหรอก ปากก้เอาเครื่องสวรรค์มาอ้าง สุดท้ายก้อยากจะไว้ชีวิตหลานตัวเอง น่าขยะแขยง...